พัคฮยองชิก (Park Hyung Sik) และ จอนโซนี (Jeon So Nee) พูดถึงการได้ร่วมงานกันใน “Our Blooming Youth”
2023-02-08 08:32:15
Advertisement
คลิก!!!

พัคฮยองชิก (Park Hyung Sik) และ จอนโซนี (Jeon So Nee) นักแสดงจากซีรีส์ ใน “Our Blooming Youth”
ได้ร่วมถ่ายแบบและให้สัมภาษณ์ถึงผลงานการแสดงเรื่องใหม่ของพวกเขากับนิตยสาร Elle Korea

“Our Blooming Youth” ซีรีส์เรื่องใหม่ของช่อง tvN เล่าเรื่องราวความรักของ อีฮวาน องค์รัชทายาทที่ทุกข์ทรมาณจากคำสาปลึกลับ และ มินแจอี หญิงสาวอัจฉริยะที่ถูกใส่ร้ายว่าฆ่าครอบครัวของตัวเอง

พัคฮยองชิก รับบทเป็น อีฮวาน องค์รัชทายาทที่จะช่วยกอบกู้ชื่อเสียงของ มินแจอี และ จอนโซนี รับบทเป็น มินแจอี หญิงสาวที่มาพร้อมพรสวรรค์ผู้ที่จะช่วยลบคำสาปให้กับอีฮวาน

เมื่อให้เทียบระหว่างตอนที่เจอกันครั้งแรกกับตอนนี้ จอนโซนีบอกว่า

“ฮยองชิกเหมือนเดิมเลยค่ะ ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก เขาเป็นมิตร, สุภาพ และรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร เขาเป็นแบบนั้นเลยค่ะ เวลาที่ต้องถ่ายทำเกือบปี มันก็จะมีบ้างที่เราเหนื่อยและมีวันที่ไม่เป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้ แต่เขายังคงนิ่งได้เหมือนเดิม ฉันคิดว่าน่าจะพูดได้ว่าเขาเป็นคนมั่นคงค่ะ”
 

พัคฮยองชิกเองก็บอกว่า จอนโซนี เป็นเพื่อนที่ดี และเธอมักจะตอบคำถามอย่างซื่อตรง พัคฮยองชิกพูดถึงเพื่อนนักแสดงของเขาว่า

“โซนีแข็งกระด้างและเข้าถึงยากในตอนแรก ผมคิดกับตัวเองว่า ‘นี่คงไม่ง่ายเลย’”

เมื่อจอนโซนีถามว่าตอนนั้นเขาเครียดหรือเปล่า พัคฮยองชิกอธิบายว่า

“เพราะว่าผมไม่รู้จักคุณมาก่อน แต่ว่าใช่เวลาไม่นาน พอเราได้มาเจอกันเรื่อยๆ ผมก็ได้เจอด้านใหม่ๆ แล้วสุดท้ายเราก็สนิทกันอย่างรวดเร็วเมื่อได้แลกเปลี่ยนความคิดและความกังวลของกันและกัน นอกจากนี้มันจะเป็นเรื่องง่ายเวลาที่คุณได้เจอคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันในกองถ่าย เป็นเรื่องยากมากที่จะได้เจอคนอายุเท่ากัน แต่ว่าในกองถ่ายของเรา นอกจากโซนีแล้ว ยังมีคนอื่นอีกหลายคนที่เกิดปี 91 เลยสนุกและดีใจที่ได้พบกันมากครับ”
 

ในเรื่อง “Hwarang: The Poet Warrior Youth” พัคฮยองชิกรับบทเป็น พระราชาซัมเมกจง ที่คล้ายกับบทองค์รัชทายาทในเรื่อง “Our Blooming Youth” แม้ว่าจะรู้สึกว่าตัวละครทั้ง 2 คนเหมือนกัน แต่พัคฮยองชิกพบว่าแตกต่าง

“เรื่อง Hwarang: The Poet Warrior Youth เกิดขึ้นในยุคชิลล่า ในขณะที่เรื่อง Our Blooming Youth อยู่ในยุคโชซอน เพราะฉะนั้นเครื่องแต่งกายจะแตกต่างกันโดนสิ้นเชิง ถ้าพูดถึงตำแหน่งของตัวละคร พวกเขาอาจจะเหมือนกันในตอนแรก แต่จริงๆพวกเขาแตกต่างกันมาก ซัมเมกจงคือคนที่กำลังเติบโตไปพร้อมกลุ่มเพื่อนที่เรียกว่า ฮวารัง ในขณะที่ อีฮวานจะโตกว่าหน่อย ผมพยายามถ่ายทอดบทอีฮวานโดยโฟกัสว่าเขาต้องปกป้องอะไรและต้องทำอะไรในฐานะองค์รัชทายาท” 

สำหรับตัวละคร มินแจอี ของ จอนโซนี เธอต้องแต่งตัวเป็นผู้ชายในขณะที่หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ การปลอมเป็นผู้ชายถูกเล่าเอาไว้ในซีรีส์หลายเรื่อง จอนโซนีได้พูดถึงว่าเธอทำให้บทของเธอแตกต่างไปจากเรื่องอื่นๆอย่างไร

“พูดตามตรงเลย ฉันไม่ได้รู้สึกกดดันว่าการต้องปลอมตัวเป็นผู้ชายนี้ต้องแตกต่างจากซีรีส์เรื่องอื่นค่ะ ไม่ว่าจะแสดงเป็นบทแบบไหน แต่คุณก็จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มนี้ ฉันแค่คิดว่าฉันจะแสดงให้แตกต่างถ้าลองคิดว่าคนอื่นมารับบทนี้ ฉันพยายามทำให้ตัวเองแตกต่างในบทของมินแจอี ไม่ใช่ในฐานะหญิงสาวที่แตกต่างเป็นผู้ชาย” 

 

เมื่อถามถึงความสนุกในการแสดง พัคฮยองชิกบอกว่า

“การแสดง...สนุกครับ การได้เจอกับตัวละครใหม่และถ่ายทอดอารมณ์ใหม่ คนที่ได้แสดงด้วยก็มาพร้อมกับพลังและบุคลิกที่แตกต่าง มีความแปลกใหม่เข้ามา ทำให้ผมสงสัยว่าผมจะได้เจอกับอะไรอีกในครั้งนี้ แน่นอนว่าบางครั้งผลลัพธ์อาจจะออกมาไม่ดีเสมอไป แต่สิ่งที่ผมชอบคือกระบวนการระหว่างทำงาน”

จอนโซนีเคยบอกว่าการแสดงสำคัญกับเธอมาก 

“ฉันชอบการแสดงมาตั้งแต่เด็กค่ะ รุ่นพี่และเพื่อนของฉันบอกกับฉันว่า ‘เธอยอดเยี่ยมมาก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอยังชอบการแสดงมากแบบนั้น’ เพราะว่าฉันได้ยินแบบนั้นบ่อยๆ ฉันเลยสงสัยว่า ‘ฉันจะโตขึ้นและพบว่าไม่ชอบมันหรือเปล่า?’” 

จอนโซนีพูดต่อ

“ฉันรู้สึกสบายใจมากเมื่อได้เจอกับ จางฮเยจิน (Jang Hye Jin) ฉันมีความหวังเมื่อเห็นเธอสนุกไปกับการแสดงอย่างจริงใจ ฉันหวังว่าฉันจะยังคงคิดว่าการแสดงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นแม้จะผ่านไป 10 หรือ 20 ปีข้างหน้า และสามารถอยู่กับการแสดงได้ ฉันอยากจะอยู่บนเส้นทางการแสดงต่อไป เพราะว่ารู้สึกแบบนี้เลยเป็นเรื่องดีที่ได้เจอกับนักแสดงที่มีพลังแบบเดียวกัน ฉันคิดว่าฉันรู้สึกว่าทุกอย่างจะสามารถเกิดขึ้นได้ ความหวังของคนที่ชื่นชอบการแสดง และเมื่อฉันเข้าหาเขาและแสดงความชอบนั้นออกไป เราน่าจะได้ทำอะไรร่วมกัน” 

เมื่อผู้สัมภาษณ์ถามถึงธีมในการใช้ชีวิตในปี 2023 ของทั้ง 2 คน พัคฮยองชิกทริปเมื่อไม่นานมานี้ของเขา 

“เป็นครั้งแรกที่ผมไปพักผ่อนเพื่อตัวเอง”

เขาพูดต่อ

“เวลาผมไปที่ไหนซักที่ มันจะเป็นการไปทำงานก่อน แล้วผมจะอยู่ต่ออีกซักนิดหลังจากทำงานเสร็จ แต่ตอนที่ไปทริปนี้ ผมถึงกับสงสัยตัวเองว่าผมใช้ชีวิตมาได้อย่างไรโดยไม่ทำสิ่งนี้ และเริ่มคิดว่าผมไม่ได้ใส่ใจตัวเองมากพอ ผมคิดว่าตอนนี้ผมอยากจะใช้เวลาพักผ่อนกับตัวเองครับ”

จอนโซนีอธิบาย 

“ตอนนี้ฉันมีสิ่งที่สนใจเยอะแยะเลยค่ะ อยากได้รับประสบการณ์หลายอย่าง ทั้งการเห็นด้วยตาตัวเอง, การได้ฟังมา แล้วอยู่ๆฉันก็คิดว่าเราจะอยู่อย่างไรถ้าเราเอาแต่ฟังประสบการณ์ของคนอื่นมากเกินไป ทั้งเรื่องร้านอาหาร, สถานที่ท่องเที่ยว หรือหนัง เราจะต้องดูรีวิวแล้วค่อยตัดสินใจ ฉันคิดว่าการที่ไม่ต้องการให้ตัวเองผิดพลาด ทำให้เราต้องดูข้อมูลพวกนี้ก่อน แต่มันจะทำให้เราใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น และฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองก็ใช้ชีวิตแบบนี้เหมือนกัน ทุกวันนี้ฉันเลยอยากจะเป็นคนที่ออกไปเจอกับประสบการณ์ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ฉันอยากจะสัมผัสมันด้วยตัวมันเองค่ะ” 

พัคฮยองชิกพูดถึงความคิดของพัคโซนีว่า

“ผมก็เคยเป็นคนแบบนั้นครับ ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่ผมไปประเทศไทยกับสมาชิกวง ZE:A และไปกินต้มยำกัน แต่เพราะว่าไม่มีใครเคยกินอาหารจานนี้มาก่อน เลยไม่มีใครกล้าลอง แต่หลังจากที่ผมลองกินดู แบบเป็นคนชิมให้ก่อน พวกเขาก็เริ่มกินด้วยกันครับ ผมจะเป็นพวกแบบนั้นตลอด เป็นพวกชอบลองไม่ว่าจะเป็นอะไร ผมไม่ชอบจะมาเสียใจทีหลัง ผมอยากจะลองดูและค่อยตัดสินใจว่าเป็นยังไง” 

 

หลังจากพูดถึงความคิดในการใช้ชีวิต นักแสดงทั้ง 2 คนได้พูดถึงความคิดเกี่ยวกับความรัก

พัคฮยองชิกบอกว่า

“มันเป็นสิ่งที่ชัดเจนว่าคุณต้องทำครับ ไม่ว่าจะเป็นการรักสัตว์เลี้ยงของคุณ, พ่อแม่ หรือคนรัก ผมคิดว่าความรักคือสิ่งที่ควรจะมีในหัวใจคุณเสมอ ความรักของพ่อแม่มีอิทธิพลกับผมมาก ผมโตมาในครอบครัวที่เราพูดกันว่า ‘รักนะ’ ทุกวัน เวลาที่คุยโทรศัพท์กับพี่ชายของผม เราก็ยังพูดกันว่า ‘รักนะ’ ผมคิดว่าไม่ค่อยคิดถึงเรื่องความรักในมุมมองที่ลึกลงไปเท่าไหร่ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่คุ้นเคย แต่พอโตขึ้น ผมเริ่มเข้าใจการพูดแบบไม่พร่ำเพรื่อ และเข้าใจว่าความรักไม่ใช่สิ่งที่เราจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนเสมอไป”
 

จอนโซนีพูดต่อ

“คุณรู้ใช่ไหมคะว่ามันมีความรู้สึกกลัวเวลาที่คุณมอบความรักให้ไปแล้วกลัวไม่ได้รับความรักตอบกลับมาเท่ากัน? ฉันเคยเป็นแบบนั้นค่ะ ฉันไม่ชอบความรู้สึกเสียใจ ฉันเลยคิดว่า ‘ฉันจะให้ไปเท่าที่จะรู้สึกไม่เสียใจถ้าไม่ได้รับตอบว่า’ แต่มันกลายเป็นว่าฉันเอาแต่คำนวณค่ะ จากนั้นก็มีช่วงเวลาที่ฉันเปลี่ยนใจและคิดว่า ‘ลองมาดูกันดีกว่าว่าความรักมากแค่ไหนที่ฉันสามารถให้ได้’ ตอนนั้นเองที่ฉันเลิกคำนวณ และเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับการให้ ทุกวันนี้ ฉันมีความสุขมากค่ะ เพราะว่าฉันมอบความรักนั้นให้กับครอบครัวและเพื่อน” 

 

คำถามสุดท้ายถามถึงคำสัญญาที่พวกเขาให้ไว้กับตัวเองสำหรับปี 2023 ทั้ง 2 คนบอกว่าพวกเขาไม่ได้สัญญาอะไรกับตัวเอง พัคฮยองชิกอธิบายว่า

“เพราะว่าผมเป็นพวกชอบปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติครับ ผมรู้สึกว่าการทำสัญญากับตัวเองเหมือนเป็นข้อผูกมัด”

จอนโซนีพูดเสริมขึ้นมาว่า

“ฉันไม่ใช่คนปล่อยใจอิสระค่ะ และรักษาสัญญาเสมอ ฉันเลยตั้งใจว่าจะไม่สัญญาอะไรเลย สำหรับฉันเหตุผลเลยเป็น ‘ไม่ชอบที่ตัวเองทำตามสัญญาไม่ได้’”

พัคฮยองชิกพูดขึ้นพร้อมหัวเราะ

“ส่วนสำหรับผมคือ ‘ผมจะไม่รักษาสัญญาหรอก’ ผมแค่ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในทุกวันก็พอแล้ว!”



ติดตามภาพถ่ายและบทสัมภาษณ์ของพัคฮยองชิกและจอนโซนีได้ใน Elle Korea ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ และซีรีส์ “Our Blooming Youth” ที่ออกอากาศตอนแรกไปในวันที่ 6 กุมภาพันธ์

ที่มา  (1)

 

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X