อีดงอุค (Lee Dong Wook) เล่าถึงซีรีส์เรื่องใหม่, เปิดใจเรื่องความลำบากในการฉีกภาพจากตัวละครดาร์คๆ และการเจอกับช่วงที่ถดถอย
2020-05-21 16:04:55
Advertisement
คลิก!!!

ล่าสุดอีดงอุค (Lee Dong Wook) ได้มาให้นั่งให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร W Korea ในการสัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมาซึ่งเขาได้เปิดใจถึงผลกระทบจากตัวละครของเขาและผลงานที่เขาเคยมี รวมถึงพูดถึงผลงานซีรีส์เรื่องใหม่ของเขาและอื่นๆ อีกมากมาย

ในบทสัมภาษณ์ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม อีดงอุคเล่าถึงการถ่ายทำซีรีส์เรื่อง “The Tale of Gumiho” ทางช่อง tvN นักแสดงหนุ่มรับบทเป็นกูมีโฮ (จิ้งจอกเก้าหางในตำนาน) และซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์เกาหลีเรื่องแรกที่มีกูมีโฮชายเป็นตัวละครนำ โดยซีรีส์จะเริ่มออกอากาศในช่วงต้นเดือนกันยายน และผู้สัมภาษณ์ได้ถามเขาว่าจะมีการถ่ายเรื่องนี้ไว้ทั้งหมดก่อนออกอากาศหรือไม่

“เรียกว่าถ่ายทำไว้ก่อนทั้งหมดไม่ได้หรอกครับ และเราทุกคนต่างหวังว่าเราจะถ่ายทำไปได้ถึงระดับนึงก่อนจะออกอากาศครั้งแรกครับ” เขาตอบและบอกว่ามีการตัดต่อ CG เยอะมากที่ต้องทำในซีรีส์เรื่องนี้

“ซีรีส์เรื่องนี้เป็นแนว ‘ดราม่าแฟนตาซีในเมือง’ ครับ” เขาบอก “ผมได้ยินมาว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีเนื้อเรื่องหลักเกี่ยวกับ ‘กูมีโฮชาย’ ครับ มันมีความเป็นเอกลักษณ์ ผู้กำกับและนักเขียนบทตั้งใจที่จะใส่จุดหักมุมลงไปในไอเดียตามแบบฉบับเดิมและมันน่าตื่นเต้นด้วยครับ”

จากนั้นผู้สัมภาษณ์ก็ขอให้อีดงอุคเล่าถึงความรู้สึกที่แท้จริงเมื่อซีรีส์ของเขาเรื่อง “Goblin” ในปี 2016 – 2017 ทางช่อง tvN เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก

“ในตอนนั้น ความจริงแล้วผมไม่ค่อยได้รู้เท่าไหร่ว่า ‘Goblin’ ได้รับความนิยมขนาดไหนครับ” เขาเล่า “ตอนที่ซีรีส์ออกอากาศ ผมแค่ยุ่งมากกับการถ่ายทำ ไม่ได้มีแค่ผมที่เป็นแบบนั้นด้วยครับ นักแสดงคนอื่นหลายๆ คนก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน”

เขาอธิบายว่าเมื่อซีรีส์จบลง จู่ๆ ก็มีงานเป็นจำนวนมากต่อคิวรอเขาอยู่ เช่น งานโฆษณาและงานถ่ายแบบต่างๆ 

“นั่นคือตอนที่ผมคิดว่า ‘ดูเหมือนผมจะงานยุ่งในตอนนี้แล้ว’ และ ‘หลายๆ สิ่งกำลังเป็นไปได้ด้วยดีเพราะซีรีส์ประสบความสำเร็จ’ ครับ” เขาบอก “อย่างไรก็ตาม ในด้านนึง ผมก็พยายามไม่หลงระเริงไปกับความสุขครับ ผมยังบอกกับคนอื่นและกงยู (Gong Yoo) อยู่เลยว่า ‘‘Goblin’ เป็นซีรีส์ของกงยูและของนักเขียนบทคิมอึนซุก (Kim Eun Sook)’ ครับ มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะสร้างบรรยากาศดีๆ แต่ผมไม่เคยมีความคิดอย่าง ‘ผลลัพธ์นี้คือของผม’ เลยครับ“

ผู้สัมภาษณ์บอกอีดงอุคว่า ถึงแม้เขาจะมีอาชีพนักแสดงมาอย่างยาวนาน แต่เขาก็ไม่เคยหลงตัวเองเลย ถึงแม้ผู้สัมภาษณ์จะคิดว่าเขาอาจจะกลายเป็นคนแบบนั้นหลังจากเรื่อง “Goblin” ก็ตาม

“การที่คนยังคงพูดถึงเรื่อง ‘Goblin’ กันเยอะมากแสดงให้เห็นว่าซีรีส์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจและเป็นซีรีส์ที่ยอดเยี่ยมครับ” เขาตอบ “มันเป็นหน้าที่ของผมและงานของผมที่ต้องฉีกจากภาพนั้นให้ได้อย่างรวดเร็วครับ”

“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม มันเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วและเป็นเกียรติในอดีตครับ และยิ่งกว่านั้นก็คือมันเป็นซีรีส์ของกงยูครับ” เขาพูดพร้อมเสียงหัวเราะ

จากนั้นขาก็พูดต่อถึงความคิดในฐานะนักแสดงว่า “ในเรื่องความหลงตัวเอง ผมเห็นด้วยเช่นกันว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องมีสำหรับอาชีพนี้ครับ” เขาบอก “เนื่องจากพวกเราอยู่ในสถานการณ์ที่เรามักถูกเลือกหรือถูกประเมินค่าอยู่เสมอ มันยากที่จะทนกับมันถ้าคุณไม่คิดกับตัวเองว่า ‘ฉันเก่งเรื่องนี้ มีสิ่งที่ฉันทำได้ดีกว่าคนอื่น’ ครับ แต่ถ้าความคิดแบบนั้นมีมากเกินไป มันก็จะกลายเป็นปัญหาส่วนตัวครับ”

“มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนพอใจในอาชีพนี้ครับ” เขาบอก “มันเป็นเรื่องดีในการทำให้คนแค่ 50 คนจาก 100 คนพอใจครับ แต่มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะรู้สึกเจ็บปวดเพราะอีก 50 คนนั้นเกลียดผมหรือไม่สนใจผมครับ นั่นคือสาเหตุที่เราต้องย้ำกับตัวเองว่า ‘ฉันเป็นคนที่ดี’ ครับ”

ผู้สัมภาษณ์พูดถึงการสัมภาษณ์ครั้งก่อนที่อีดงอุคเคยพูดว่าเขาแทบจะไม่เคยรู้สึกพอใจในผลงานของตัวเองเลย ผู้สัมภาษณ์จึงถามว่าเขาคิดว่าตัวเองบกพร่องหรือไม่

“ผมคิดครับ” เขาตอบ “คำพูดว่า ‘คุณทำได้ดี’ เป็นคำพูดที่มีความหมายเมื่อคนอื่นพูดครับ และผมคิดว่าผมต้องมองดูตัวเองตามความเป็นจริง ลักษณะนิสัยแบบนั้นอาจจะเป็นเรื่องยากในบางครั้งเพราะมีหลายครั้งที่ผมต้องรักตัวเองแต่ผมตั้งใจระมัดระวังที่จะไม่ทำแบบนั้นครับ ผู้อำนวยการในบริษัทของผมบางครั้งก็บอกผมว่าอย่ากดดันตัวเองมากนัก แต่ผมบอกกับพวกเขาว่า ‘ไม่ครับ ผมต้องเข้าใจตามความเป็นจริงอย่างเต็มที่ ผมต้องรู้จักตัวผมเองครับ’ บางทีที่ผมมาไกลได้ขนาดนี้ก็อาจจะเป็นเพราะเรื่องนั้นครับ”

เมื่อถามว่าลักษณะนิสัยในการเข้มงวดเกี่ยวกับการประเมินตัวเองของเขาแยกออกจากความมั่นใจในตัวของเขาหรือไม่ อีดงอุคตอบว่า “ไม่ครับ มันเชื่อมโยงกันครับ” เขาบอกว่า “นั่นคือเหตุผลที่ผมบอกว่ามันอาจจะเป็นเรื่องยากได้ในบางครั้งครับ มีบางครั้งที่ผมผ่านช่วงที่ถดถอยอย่างหนักมาและไม่ออกจากบ้านเลยเป็นเวลา 2 – 3 เดือนครับ มันเกิดขึ้นตอนหลังจบซีรีส์เรื่อง ‘Life' ของช่อง JTBC ครับ”

“ผมรู้สึกกลัวเรื่องการออกจากบ้านครับ” เขาบอก “ผมรู้สึกเหมือนผู้คนจะชี้มาที่ผมตอนที่เจอผม และผมรู้สึกเหมือนไม่มีใครที่อยู่ข้างผมครับ ผมจมลึกไปกับความรู้สึกนั้นจนผมอยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุด ผมไม่เจอกับใครเลยและผมอยู่แต่ในบ้านหรือออกกำลังกายครับ”

เมื่อถามว่าเวลาช่วยเยียวยาเรื่องนั้นหรือไม่ เขาตอบว่า “ส่วนนึงครับและเมื่อผมจมอยู่กับความคิดว่าผมเป็นอะไรไป ผมก็ได้รับความช่วยเหลือจากหลายๆ คนที่ให้กำลังใจผมด้วยการบอกว่าผมเป็นคนที่ดีครับ กงยูคือหนึ่งในคนเหล่านั้นครับ ผมตระหนักได้อีกครั้งว่าเมื่อเราเผชิญกับวิกฤติและมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผู้คนคือสิ่งที่สำคัญครับ”

อีดงอุคยังเล่าถึงผลกระทบของการแสดงเป็นซอมุนจูในซีรีส์เรื่อง “Strangers from Hell” ด้วย เขาเล่าว่าเมื่อเขาเริ่มแสดงในซีรีส์เรื่องนี้ เขาคิดกับตัวเองว่าเขาไม่ควรซึมซับกับตัวละครมากเกินไป

“มีตัวร้ายมากมาย แต่เขาเป็นคนที่ไม่เพียงแต่ควบคุมตัวร้ายคนอื่นเท่านั้นครับ เขายังให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปมากกว่าตัวร้ายคนอื่นครับ” เขาบอก อีดงอุคเล่าว่าเขาตั้งใจเตรียมตัวสำหรับซีรีส์เรื่องนี้น้อยลงเพราะเขาอยากซึมซับไปกับตัวละครเพียงแค่ระดับนึงเท่านั้น

“เมื่อซีรีส์จบลง ผมคิดว่าผมโอเคครับ” เขาบอก “อย่างไรก็ตาม มีบางครั้งที่ผมไปดื่มกับเพื่อนๆ หรือคนรู้จักและถึงแม้สิ่งที่ผมทำจะคือการมองไปที่พวกเขา พวกเขาจะพูดว่า ‘ทำไมนายมองฉันแบบนั้น?’ ครับ วันนึงผมส่องกระจกและผมไม่รู้สึกเหมือนผมกำลังมองตัวเองอยู่ครับ ผมมีความรู้สึกแปลกๆ และไม่คุ้นเคยขึ้นมาแทน ดังนั้นผมจึงคิดว่า ‘อา ผมไม่โอเคเลย’ ครับ”

นักแสดงหนุ่มเล่าให้ฟังว่าเขามีประสบการณ์ที่เจ็บปวดคล้ายๆ กันในตอนที่ต้องฉีกภาพจากตัวละครหลังจากที่เขาแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Bittersweet Life” ในปี 2005 เขาอธิบายว่า “ผมเหมือนกับใบไม้แห้งที่หล่นลงมาครับ จนถึงจุดที่ผมสงสัยว่าผมอาจจะตายถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปครับ” เขาบอก “ผมรู้สึกเหมือนผมคงถูกไฟเผาหรือแตกสลายเป็นชิ้นๆ ถ้าหากมีคนแค่แตะผมเบาๆ ครับ ผมไม่มีประสบการณ์ในสังคมมากนักและความคิดของผมยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นการเอาชนะความรู้สึกแบบนั้นจึงน่ากลัวครับ”

ผู้สัมภาษณ์จึงแนะนำว่าความเจ็บปวดนั้นสามารถมองว่าเป็นตราแห่งเกียรติยศได้และจุดเริ่มต้นของความเจ็บปวดของเขาอาจจะเปลี่ยนไปได้เมื่อเขาคุ้นเคยกับมัน อีดงอุคเห็นด้วยและบอกว่า “แน่นอนว่ามีความรู้สึกในการบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จอยู่ด้วยครับ และผมคิดว่า ‘ถ้ามีอะไรที่ยากลำบากเกิดขึ้นกับผมอีกหลังจากการแสดง ผมก็จะรู้วิธีในการปล่อยวางมันแล้ว ผมควรพยายามลองทำเรื่องต่างๆ ต่อไป’ ครับ”

เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างการแสดงและอายุ อีดงอุคตอบว่า “ผมสงสัยจริงๆ ว่าผมจะทำผลงานแนวแฟนตาซีและโรแมนติกคอมเมดี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่ครับ” เขาบอก “ในประสบการณ์ของผม มีหลายครั้งที่งานโรแมนติกต้องมีนักแสดงนำที่น่ารักๆ ครับ เวลาผมทำอะไรน่ารักๆ ตอนแสดงผมจะคิดว่า ‘ตอนไหนที่ผู้ชมจะเลิกคิดว่าผมน่ารักกันนะ?’ นั้นคือตอนที่จู่ๆ ผมก็รู้สึกได้ว่าผมเริ่มอายุเยอะครับ” เขาพูดพร้อมเสียงหัวเราะ “อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าผมยังทำมันออกมาได้ดีครับ”

อีดงอุคเล่าว่าเมื่อก่อนเขาเคยรู้สึกกดดันจากความรู้สึกของการทำหน้าที่ในการดูแลครอบครัวของเขาและความรับผิดชอบอื่นๆ เขาจึงไม่สามารถดูแลตัวเองได้ แต่เรื่องนี้เปลี่ยนไปเมื่อ 3 หรือ 4 ปีก่อน “ตอนนี้ผมเริ่มอยากทำสิ่งที่ผมอยากทำและสนุกไปกับมันเพื่อตัวผมเองแล้วครับ” เขาบอก

หลังจากใช้เวลาคิดว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร อีดงอุคคิดออกได้ว่าเขาสนุกไปกับการออกกำลังกาย “เหมือนกับการตกปลาครับ ผมสามารถใช้เวลา 2 – 3 ชั่วโมงไปกับตัวเองโดยไม่คิดถึงอะไรอย่างอื่นเลยครับ” เขาบอก “ในชีวิตของเรา ปกติแล้วคุณจะไม่ได้รับในสิ่งที่คุณทุ่มเทลงไป แต่กับการออกกำลังกายแล้วคุณจะได้รับในสิ่งที่คุณทุ่มเทลงไปครับ” อีดงอุคยังเล่าด้วยว่าเขาสนุกไปกับการดูภาพยนตร์คนเดียวและดูว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรในขณะที่ดูภาพยนตร์

ล่าสุดอีดงอุคได้จัดรายการทอล์คโชว์ของตัวเองชื่อ “Because I Want to Talk” ทางช่อง SBS ซึ่งเป็นรายการที่เขาจะสัมภาษณ์แขกรับเชิญคนดังและพูดถึงประสบการณ์ของเขา

“มันเป็นเรื่องที่สนุกแต่ก็ยากครับ” เขาบอก “การสัมภาษณ์แขกรับเชิญคนหนึ่งต่อสัปดาห์ต้องใช้เวลา 4 วันในการทำงานครับ แค่เอกสารที่ผมได้มาศึกษาในแต่ละครั้งก็มี 200 – 250 หน้าแล้วครับ และผมก็จะไปเจอกับทีมงานเพื่อตัดสินใจว่าผมจะถามคำถามอะไรบ้าง การถ่ายทำในสตูดิโอจะใช้เวลา 1 วัน และอีกวันนึงก็จะเป็นการถ่ายทำด้านนอก มันเป็นประสบการณ์ที่สนุกครับเพราะผมได้ทำงานร่วมกับ ‘ทีมงานที่ดี’ และ ‘จางโดยอน (Jang Do Yeon) ที่ดี’ ครับ”

จากนั้นอีดงอุคก็เล่าถึงความมุ่งมั่นในปัจจุบันของเขาว่า “ผมอยากได้รับการยอมรับจากสาธารณะและจากคนในวงการมากกว่านี้ครับ” เขาบอก “ไม่ว่าคุณจะได้รับมันหรือไม่ มันก็เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่อง ‘ความสำเร็จ’ ครับ ผมหวังว่าวันหนึ่งผมจะรู้สึกพึงพอใจกับตัวเองเช่นกันและรู้สึกผ่อนคลายมากกว่านี้ในทุกวันครับ” เขาพูดพร้อมเสียงหัวเราะว่า “เพื่อที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ อย่างแรกเลยซีรีส์เรื่อง ‘The Tale of Gumiho’ ก็ต้องทำออกมาได้ดีใช่มั้ยครับ?”

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X