เรื่องรางความรักของ ต่าย ชุติมา & ทิม พิธา
2013-03-24 12:31:05
Advertisement
คลิก!!!

THE SEASONS OF LOVE ต่าย ชุติมา ลิ้มเจริญรัตน์ & ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (Bride Magazine)

เรื่อง : Bride Mag

           "หากเปรียบกับชีวิตของคนเมื่อยามสุขล้นจนใจมันยังไม่อยู่ ก็คงเปรียบได้กับฤดูคงเป็นฤดูที่แสนสดใส" ข้อ ความนี้คงจะคุ้นกันดีในบทเพลงฤดูที่แตกต่าง ซึ่งมีความหมายอย่างลึกซึ้งของคู่รักคู่หนึ่งที่ได้เริ่มต้นขึ้นกลางสะพาน เล็ก ๆ ในเมืองเวนิส อิตาลี ระหว่างนักแสดงสาวและหนุ่มนักเรียนนอก ทว่าหน้าที่ระยะทางได้เป็นบททดสอบความรักของทั้งคู่จนสามารถผ่านพ้นและมาถึง ในวันนี้ได้ จึงทำให้ทั้งคู่ได้รู้ว่า "มันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ"

      ทั้งคู่รู้จักกันได้อย่างไร

            ทิม : เรา ทั้งคู่รู้จักกันที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ตอนนั้นต่ายไปถ่ายหนังเรื่องกาลิเลโที่นั่น แล้วผมก็เป็นนักเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาฮาร์วาร์ด ช่วงก่อนปิดเทอมกลับบ้านก็จะแวะไปแถบยุโรปที่เมืองเวนิส เจอต่ายพอดี พอผมจะไปก็มีเพื่อนของเพื่อนที่รู้จักเราทั้งสองคน จึงได้แนะนำให้ไปเจอกัน เพราะรู้ว่าผมจะเดินทางไปคนเดียว แล้วต่ายก็ทำงานอยู่คนเดียวก็เลยรู้จักกันตั้งแต่นั้นมา

       ก่อนที่รู้จัก เคยได้ยินเชื่อเสียงเรียงนามของแต่ละคนบ้างหรือไม่

            ทิม : ของผมเคยได้ดูหนังของเขาทั้ง 2 เรื่อง ก่อนที่จะได้เจอกัน ทั้งเรื่อง Season Change และเรื่องปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น ก็ชอบทั้งสองเรื่องเลยครับ

            ต่าย : แต่ก่อนคือต่ายไม่รู้จักเลย แต่พอเพื่อนบอกว่ามีพี่คนหนึ่งเขาจะไปยุโรป ก็เลยให้ชื่อมาเราก็เข้าไปดูในกูเกิล ก็รู้ว่าเป็นหนุ่มคลีโอ พอเข้าไปดูเว็บอื่น ๆ ก็เจอแต่เรื่องนี้ แล้วมีสัมภาษณ์สั้น ๆ ประกอบบ้าง เลยรู้สึกว่าคนนี้เหรอที่จะไปยุโรป (หัวเราะ)



      สิ่งที่ประทับใจเมื่อแรกเห็น

            ทิม : ครั้ง แรกที่เห็นก็รู้สึกว่าประทับใจในความสดใสของต่าย ตอนนั้นเขาอายุแค่ 21 ยังเด็กอยู่มาก คือช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทำงานหนัก ต้องเรียนหนังสือสองมหาวิทยาลัย แล้วก็ทำธุรกิจที่บ้านควบคู่ไปด้วย อีกทั้งตัดสินใจที่จะบินไปเรียนหนังสืออีกรอบหนึ่ง คุณพ่อผมก็ได้เสียไป 3 ปี ก็รู้สึกห่วงธุรกิจที่บ้านของคุณแม่ เรารู้สึกว่าไม่ต้องการอะไรที่เครียด ๆ พอมาเจอความสดใสของต่ายก็เลยประทับใจ

            ต่าย : ของต่ายมีความประทับใจ 2 อย่าง คือ ตอนแรกที่ได้คุยผ่านเฟซบุ๊กเราก็ยังไม่รู้หรอกว่าคนนี้เป็นใคร ในรูปที่เราเห็นมันก็ไม่ได้ชัดมาก แต่พอมาได้ลองส่งอีเมลซึ่งเป็นข้อความอันแรกรู้สึกแบบบอกไม่ถูก คือประโยคมันไม่มีอะไร แค่แบบส่งมาถามว่าจะไปที่ฝรั่งเศสวันนี้กี่โมง ต่ายจะไปวันไหน แค่นี่เอง เราก็กรี๊ดเลย แบบว่างงมาก ตอนที่ดูรูปก็ไม่เคยรู้สึก อุ้ย! หล่อ ชอบ ยังไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้น พอแค่มาอ่านประโยคที่เขาส่งมาก็ตื่นเต้น รู้สึกเขิน แล้วได้มาเจอตัวจริงพี่ทิมดูหน้าเด็กกว่าในรูปมาก เหมือนว่าในรูปจะดูเป็นอีกคนหนึ่งแต่ตัวจริงจะดูเด็ก (หัวเราะ) น่ารักดีค่ะ

      ในเมื่อต่ายเป็นนักแสดงกับทิมเป็นนักธุรกิจพันล้าน อะไรที่ทำให้ทั้งสองคนสามารถจูนกันได้

            ทิม : ความเข้าใจกันและกันเป็นสิ่งที่ทำให้เราสองคนเข้ากันได้ ซึ่งจริง ๆ มันก็ไม่เกี่ยวกันว่าจะเป็นนักแสดง หรือเป็นนักบัญชี นักการตลาด หรือจะอาชีพอะไรก็แล้วแต่ แต่มันสำคัญตรงที่เราสองคนมีนิสัยที่ไม่ได้แตกต่างกันมาก ยังมีความคล้ายกันระดับหนึ่งเพียงแต่ว่าต่ายจะเด็กกว่าผม 7 ปี เพราะฉะนั้น มันมีทั้งความต่างและความเหมือนอยู่ในความสัมพันธ์อันนี้ เลยทำให้รู้สึกเข้ากันได้ง่าย เวลาผมมีเรื่องเครียดหรือว่ามีเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจก็จะเล่าให้ต่ายฟัง ต่ายก็จะรับฟังทุกครั้ง ไม่เคยที่จะไม่ฟัง แต่จะเข้าใจไม่เข้าใจก็อีกเรื่องหนึ่ง

            ต่าย : จริง ๆ แล้วพี่ทิมเขาก็แบบไมได้เป็นนักธุรกิจจ๋าขนาดนั้นเวลาอยู่กับเรา เวลาเราเจอกันครั้งแรกเขาก็จะชอบเล่าเรื่องที่บ้าน เรื่องธุรกิจให้ฟัง ตอนนั้นเราคิดว่าผู้ชายคนนี้ดูเปิดเผยดี ไม่ใช่ว่ามาโม้หรือมาเล่าอะไรที่ดูไม่มีประเด็น คือจริง ๆ มาดนักธุรกิจอาจจะเป็นมาดที่แบบเวลาทำงานมากกว่า แต่ว่าเวลาอยู่กับต่ายเขาก็จะเป็นศิลปินนิดนึง วาดรูป เล่นกีตาร์ ร้องเพลง ไปนั่งริมสระน้ำ สวนสาธารณะ ทำอะไรที่ผ่อนคลายในสิ่งที่เขาชอบ



       อยากจะให้เล่าบรรยากาศตอนขอแต่งงาน

            ทิม : หลัง จากที่เรียนหนังสือจบมา 1 ปี ผมตัดสินใจว่าเมื่อผมอายุ 31 แล้วเรามีความพร้อมที่อยากจะเริ่มต้นมีครอบครัวสักที ก็เลยคิดว่าจะชวนต่ายเที่ยวที่ไหนดี เพื่อที่จะขอแต่งงาน จึงลงตัวเป็นที่เกาะมัลดีฟส์ เพราะว่าเราทั้งคู่ได้ไปทะเลมาหลายที่ แล้วเห็นว่ามัลดีฟส์ทะเลสวย คิดว่าน่าจะเหมาะสม ก็เลยบินไปที่นู้นซึ่งที่สถานที่พักที่ผมไปมีร้านอาหารน่ารักหลายที่ ผมก็บอกให้พนักงานจัดโต๊ะให้ไกลจากผู้คนมากที่สุด แล้วต้องเห็นวิวพระอาทิตย์ตก ทางโรงแรมเลยจัดสถานที่เป็นแบบส่วนตัวริมเกาะ พอผมเห็นว่าพระอาทิตย์กำลังสวย ๆ สีส้ม ๆ ก็ขอต่ายแต่งงานเลย

            ต่าย : ต่ายพอเดาได้อยู่แล้วว่าต้องพาไปขอแต่งงานแน่เลย ยังคุยกับที่บ้านอยู่ว่าคงตลกขำ ๆ แบบว่าพอแต่งเสร็จก็เออ ๆ แต่งค่ะ ขำ ๆ ไป ขนาดตอนที่รู้ว่าเขาวิ่งไปเปลี่ยนชุดก็แอบทำมาเป็นบอกว่า "เอ๊ะ...ต่ายอยากมากินเนื้อแกะ เดี๋ยววิ่งไปบอกเซฟก่อน" คือตอนนั้นรู้สึกเลยว่าต้องไปทำอะไรสักอย่างแน่ ๆ ก็เลยยังขำ ๆ ตลกอยู่ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน พอพี่ทิมเริ่มสารภาพความในใจตั้งแต่คำแรกแค่นั้นแหละ ร้องไห้เลย พูดไม่ถูกเลย ร้องไห้จนลืมตอบเขาไปว่า "แต่งค่ะ" ต่ายเลยยื่นนิ้วให้เลย (หัวเราะ) พอพี่ทิมพูดจบ



       ธีมงานแต่งงานที่ผ่านมาทั้งคู่คิดไว้เป็นอย่างไร

            ทิม : คิดว่าไม่มีธีมเป็นตัวเป็นตนเท่าไหร่ คือ 1. เรียบง่าย 2. ได้อยู่กับคนที่สำคัญที่เรารักจริง ๆ อย่างเมื่อวันที่ 5-5-55 ที่โรงแรมสุโขทัย ก็จะเป็นโจทย์ตามประเพณีไทย แล้วก็มีแขกมาร่วมงานทั้งหมด 70 คน ต่ายก็จะใส่ชุดไทยแล้วก็มีการจดทะเบียน มีไหว้ผู้ใหญ่รดน้ำสังข์ และส่งตัววันที่ 6 เดือน 5 ส่วนวันที่ 12-12-12 ที่ผ่านมาจัดที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ มีแขกทั้งหมด 370 ก็จะเป็น Sit down Dinner ธีมก็ไม่ได้ตายตัวอะไร คือเอาสิ่งที่เราชอบ ๆ มารวมกันมาอยู่ในงาน รวมถึงแขกผู้มีเกียรติและผู้คนที่เราเคารพรักและคิดถึงตั้งแต่เด็กจนโตมารวม อยู่ด้วยกัน ไม่เคยคิดที่จะมีงานแต่งงานที่ใหญ่โตหรือเพอร์เฟคท์ แต่อยากให้งานออกมาดูอบอุ่น

            ต่าย : เรื่องธีมคราวนี้เหมือนเราคุยกันนิดเดียวว่าอยากให้เป็นแบบสีขาว ๆ ก็พยายามเลือกทุกอย่างให้เป็นสีขาว ส่วนอีกสีหนึ่งที่ชอบก็คือสีที่น้ำทะเล ซึ่งเป็นชุดเพื่อนเจ้าสาวกับเนคไทของเพื่อนเจ้าบ่าว คืออยากให้สีเป็นโทนเดียวกัน เป็นสีน้ำทะเล ฟ้าอ่อน ที่เหลือก็เป็นขาวให้หมดเลย



     เจ้าสาว-เจ้าบ่าว ได้เตรียมตัวกับอย่างไรบ้าง

            ทิม : ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยครับ

            ต่าย : ต่ายก็ไม่ได้เข้าคอร์สอะไรเลย แค่พยายามพักผ่อนให้เพียงพอ อาจมีทำสีผมเพิ่มบ้างนิดหน่อย แต่จะเน้นเตรียมตัวเรื่องชุดมากกว่า อยากให้ออกมาแบบที่เราอยากได้

     ช่วงเวลาที่ประทับใจในงานแต่งงานของทั้งคู่

            ทิม : ประทับ ใจเค้กแต่งงานที่ประดับด้วยสะพานเซรามิกที่ต่ายซื้อเก็บไว้ตั้งแต่เจอกัน ใหม่ ๆ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเซอร์ไพรส์ที่นึกไม่ถึงมาก่อน Wedding Planner ของคุณเก่งทำงานดีมาก มีอะไรก็เก็บความลับให้เจ้าสาวอย่างเดียว ไม่เคยให้เจ้าบ่าวได้รู้เรื่องเลย แล้วที่ประทับใจอีกเรื่องหนึ่ง คือ ตอนที่ขอต่ายเต้นรำในงาน After Party ที่ The Bamboo Bar เปิดเพลง Beauty ของคุณ Jos James เป็นเพลงที่ผมฟังที่บ้านเป็นจำและเป็นเพลงช้าที่เราชอบทั้งคู่ แล้วในงานนั้นก็มีเพื่อนเจ้าบ่าว-เจ้าสาวที่เป็นฝรั่งบินมาจากต่างประเทศ มาร่วมฟลอร์เต้นรำด้วย จึงไม่ใช่แค่คู่ของเราเท่านั้น แต่ยังมีคู่รักคู่อื่นด้วย ถึงเวลาจะสิ้นแต่ก็รู้สึกประทับใจมากครับ

            ต่าย : คือ ตั้งแต่แต่งหน้าทำผมได้เจอกับพี่ ๆ ที่เคยมาแต่งให้เราเมื่อเดือนพฤษภาคม พี่ ๆ เขาน่ารักมาก ช่วงที่เราได้ใส่ชุดเจ้าสาวครั้งแรกและก็เดินลงมาเจอเพื่อเจอญาติผู้ใหญ่ รู้สึกปลื้มมาก ๆ เหมือนกับว่าเราได้รวมเพื่อน ๆ ญาติ ๆ ที่เรารักและไม่ได้เจอกันมานาน อย่างตอนเดินเข้างานมาก็เลือกเพลง Season Change เป็นเวอร์ชั่นที่ต่ายและพี่ทิมชอบ มีความหมายที่ดี ประมาณว่าความรักของเราเป็นอะไรที่ต้องอดทนนิดนึงกว่าจะได้มาถึงวันนี้ (ทิม : ต้องอดทนเพราะผมอยู่บอสตันแล้วต่ายอยู่กรุงเทพฯ มันมีระยะทางกั้นระหว่างเรา เพราะฉะนั้น เราต้องอดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยจะได้เห็นถึงความแตกต่าง) ส่วนที่พี่ทิมพูดให้ต่ายก็รู้สึกประทับใจมาก เพราะปกติเขาก็ไม่ได้สารภาพอะไรยาวขนาดนี้ แล้วต่ายเองก็มีเซอร์ไพรส์เป็นสะพานให้พี่ทิม คือเราเจอกันครั้งแรกที่สะพานในเมืองเวนิส เราก็เดินดูของในตลาด ได้มาเจอสะพานที่เป็นเซรามิกเล็ก ๆ เลยซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึก มีแอบคิดนิดนึงว่าจะเก็บไว้เซอร์ไพรส์ในวันใดวันหนึ่ง แต่ไม่ได้ไปไกลขนาดนั้นเพราะช่วงนั้นที่เป็นคบแฟนกันก็เก็บมาตลอดไม่ได้คิด ว่าแบบจะให้ในโอกาสในวันนี้ จนมาปีที่สองก็เริ่มคิดว่าเก็บไว้ให้ในงานแต่งงานดีกว่า พอหลังจากวันงานเดือนพฤษภาคมเราก็ต้องเอาสะพานนี้มาซ่อนไว้ (หัวเราะ) ไม่ให้พี่ทิมรู้ แล้วก็ไปให้คุณเก่งที่เป็น Wedding Planner ถามคุณเก่งว่า "จะทำยังไงกับสะพานนี้ดี ให้เฉย ๆ เลยดีไหม" คุณเก่งก็ให้ความคิดเห็นมาว่า เอาเป็นท็อปเค้กดีกว่า

       ได้อยู่ด้วยกันแบบสามีภรรยามาหลายเดือนแล้ว มีการปรับตัวอย่างไรกันบ้าง

             ทิม : 4 ปีที่ผ่านมาเราไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด ผมก็ต้องกลับไปเรียนหนังสือที่เมืองนอก พอมาอยู่เมืองไทยก็แค่เดือนสองเดือน แล้วเวลาที่ได้กลับมาเมืองไทยก็จะทำงานที่ต่างจังหวัดบ้าง ไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่ด้วยกัน แต่พอเรียนหนังสือจบแล้วก็เลยกลับมาแต่งงาน ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ตื่นมาเจอหน้ากัน ก่อนนอนได้เห็นเขาก็รู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นมาก มีอาหารเช้าให้ทาน ตื่นก่อนนอนทีหลัง เป็นแม่บ้านที่ดี ไม่มีวันไหนที่ไม่มีอาหารเช้า ซึ่งแล้วแต่อารมณ์ของต่ายว่าจะทำอะไร มีทั้งไข่ต้ม คอร์นเฟลก โซบะญี่ปุ่น ขึ้นอยู่กับเวลาว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้ารีบไปทำงานก็จะกินอะไรง่าย ๆ แต่ถ้าว่างก็จะมีเวลาทำด้วยกัน

             ต่าย : เวลาคนเรามาอยู่ด้วยกันก็ต้องมีการปรับตัวบ้าง แต่ของเราจะมีไม่เยอะ มันกลับกลายเป็นว่าดีขึ้นเรื่อย ๆ เวลาที่อยู่ด้วยกัน รู้นิสัยกันมากขึ้น เป็นแม่บ้านเต็มตัวเต็มเวลาเลย เราก็พอทำอาหารได้ ค่อย ๆ ฝึกทำไป ก็มีคนชมแต่ไม่รู้ชมจริงหรือเปล่า (ยิ้มมองไปที่ทิม) ก็มีกำลังใจฝึกทำไปเรื่อย ๆ



      นิยามรักของทิมและต่าย

            ทิม : การ ที่เราจะรักใครสักคนหนึ่งคือการที่ทำให้ความสุขของเรา ความสุขของเขา มันเป็นเงื่อนไขของซึ่งกันและกัน ถ้าเกิดอย่างของต่าย ผมมีความสุขกับต่ายแต่ต่ายไม่มีความสุขมันเป็นไปไม่ได้ หรือถ้าเกิดต่ายมีความสุข แต่ผมไม่มีความสุขมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราต้องพยายามที่จะเสียสละ ซื่อสัตย์ สม่ำเสมอ พยายามทำให้ต่ายมีความสุขมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในโลกของความเป็นจริงมันคงไม่มีหรอกที่ใครจะมีความสุตลอดเวลา แต่มันเป็นหน้าที่ของคนรักที่จะไม่ทำให้เขาทุกข์

            ต่าย : ก็ ไม่มีอะไรมาก แค่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ดูแลเขา เขาเหนื่อยจากการทำงานเราก็ดูแลในส่วนที่เราสามารถทำได้ ดูแลที่บ้าน ดูแลเรื่องอาหารเช้า ดูแลพี่ทิมให้ดีที่สุดค่ะ

 

 

 

 

ข้อมูลจากกระปุกดอทคอม

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X