ความนิยมต่อซีรีส์เกาหลีในปี 2021 ที่ผ่านมาถือว่าขยายฐานแฟนคลับออกไปได้อย่างมาก ซีรีส์แนวที่ได้รับความนิยมอีกแนวหนึ่งน่าจะเป็นแนวย้อนยุค ที่ในปีที่ผ่านมามีหลายเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น The King’s Affection ของช่อง KBS ที่สามารถขึ้นอันดับ 4 ของอันดับซีรีส์ที่มีผู้ชมเข้าชมมากที่สุดทั่วโลกขณะที่ออกอากาศ โดยเรื่อง The King’s Affection มีฉากหลังเป็นราชวงศ์โชซอน (1392-1910) แต่ตัวละครในเรื่องนั้นถูกแต่งขึ้นมาทั้งหมด เนื้อเรื่องเองก็เน้นเรื่องราวความโรแมนติกมากกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ และดูเหมือนจะมีซีรีส์อีกหลายเรื่องที่แต่งเรื่องขึ้นเองแบบนี้ ทำให้ผู้ชมหลายคนเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับเนื้อหาในซีรีส์ประวัติศาสตร์

ซีรีส์ย้อนยุคที่โฟกัสในเรื่องที่แต่งขึ้นใหม่

ซีรีส์เรื่อง Secret Royal Inspector & Joy ของช่อง tvN และ Moonshine ของช่อง KBS ต่างเป็นซีรีส์ที่ใช้ฉากหลังเป็นยุคโชซอน อย่างไรก็ตามไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่ตัวละครเป็นคนในประวัติศาสตร์จริง ส่วนเรื่อง The Red Sleeve ของช่อง MBC ที่เล่าชีวิตของพระเจ้าจองโจ (1752-1800) ก็เน้นไปเล่าเรื่องชีวิตรักมากกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ ซีรีส์เกาหลีย้อนยุคที่มีเรื่องแต่งใหม่เพิ่มเข้าไปกลายเป็นแนวที่ได้รับความนิยมมากขึ้นจากผู้ชมทั่วโลก ในขณะที่ซีรีส์เกาหลีที่อ้างอิงจากประวัติศาสตร์จริงนั้นมีน้อยมากในปัจจุบัน แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในแง่ของรายได้ แต่ผู้ชมในประเทศต่างคิดว่า ซีรีส์เหล่านี้ก็เป็นซีรีส์ทั่วไป แค่ยืมใช้ชุด ฉากหลัง แต่ไม่ได้เล่าประวัติศาสตร์ที่แท้จริง

หลังจากมีซีรีส์แนวนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ชมชาวเกาหลีและผู้เชี่ยวชาญเริ่มมีความกังวลว่าซีรีส์ย้อนยุคแนวนี้จะเปลี่ยนมุมมองต่อประวัติศาสตร์ของเกาหลีในสายตาของผู้ชมต่างประเทศไปหรือไม่

บันบยองยูล ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ประจำ Hankuk University of Foreign Studies กล่าวว่า “สำหรับผมที่เป็นนักประวัติศาสตร์ มีความรู้สึกตะขิดตะขวงใจนิดหน่อย เพราะว่าพอซีรีส์โฟกัสเฉพาะตัวละครและเนื้อเรื่องที่แต่งขึ้น ผมก็กลัวว่าผู้ชมจะรู้สึกว่าประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ในอดีตเป็นเรื่องไม่สำคัญ”

“ผมเชื่อว่าวัตถุประสงค์ของซีรีส์ย้อนยุค คือการเล่าเรื่องราวในอดีต ความทุกข์ยากของบุคคลในอดีตจากหลายร้อยปีก่อนเป็นประสบการณ์ที่ยังพบได้ทั่วไปและเข้าใจได้ง่าย เรื่องราวของพวกเขาคือการส่งสารที่ไร้ข้อจำกัดด้านเวลา แต่ถ้าตอนนี้เรื่องในซีรีส์เป็นแค่เรื่องที่แต่งขึ้น ผู้ชมก็จะได้ชมแค่ความโรแมนติกและเสื้อผ้าที่ตัวละครสวมใส่”

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญ บันบยองยูล ยังกังวลถึงความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นกับประวัติศาสตร์ “ผมไม่ได้บอกให้รายการโทรทัศน์ถ่ายทอดแต่ความจริงเหมือนกับบทความทางวิชาการ แต่ว่าพวกเขาต้องทำการบ้านเพื่อนำเสนอประวัติศาสตร์ให้ถูกต้องที่สุด” เขาพูดต่อ “หากซีรีส์ให้ฉากหลังเป็นเกาหลีในยุค 1800 แต่ตัวละครนิสัยเหมือนกับคนในปัจจุบัน อันนี้ใช้ไม่ได้ ผมกังวลว่าผู้ชม โดยเฉพาะชาวต่างชาติ จะคิดว่าเรื่องที่แต่งขึ้นนั้นเป็นประวัติศาสตร์เกาหลีจริงๆ”

ความเห็นที่หลากหลายของผู้เชี่ยวชาญ

อาจารย์ พัคชานซึง จากคณะประวัติศาสตร์ Hanyang University มีมุมมองที่แตกต่างต่อซีรีส์ย้อนยุค ว่า “ผมคาดหวังให้ซีรีส์ย้อนยุคเกาหลีนำเสนอวัฒนธรรมพื้นบ้านของชาวเกาหลีมากกว่าประวัติศาสตร์ การแต่งเรื่องขึ้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่เคาระ หรือบิดเบือนประวัติศาสตร์ หรือได้รับการร้องเรียนจากทายาทของบุคคลตัวจริงในประวัติศาสตร์ เรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยมากเมื่อเอาบุคคลในประวัติศาสตร์จริงๆมานำเสนอในด้านลบผ่านซีรีส์ การแต่งเรื่องขึ้นทำให้นักเขียนบทสามารถนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่”

พัคชานซึงยังได้ชี้ให้เห็นถึงซีรีส์ประวัติศาสตร์แฟนตาซีที่ได้รับความนิยมทั่วโลกในขณะนี้

“เราได้เห็นปรากฎการณ์จากฝั่งญี่ปุ่นและตะวันตกแล้ว” พร้อมยกตัวอย่างเรื่อง Bridgerton (2020) บน Netflix

“ไม่ได้มีกฎว่าซีรีส์ย้อนยุคต้องทำตามประวัติศาสตร์จริง ถ้าทำอย่างนั้นจริง เรื่องคงเครียดและไม่น่าสนใจ การยกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มาพูดคุยน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เนื้อเรื่องของซีรีส์น่าสนใจมากกว่า”

Jessica McLaury แฟนซีรีส์ย้อนยุคเกาหลีชาวอเมริกัน ได้พูดคุยกับ Korea JoongAng Daily โดยแสดงความคิดเห็นแบบเดียวกันว่า
 

“สิ่งที่น่าสนใจของซีรีส์ย้อนยุคคือเสื้อผ้าหน้าผมในยุคนั้น” เธอกล่าว “มันอาจจะไม่ตรงตามประวัติศาสตร์ 100% แต่ว่ามันก็ทำให้รู้สึกพิเศษแล้ว มันสนุกดีที่ได้เห็นความแฟนตาซีในเรื่องราวของคนเกาหลีสมัยก่อน รวมถึงความโรแมนติกของคนยุคนั้น ก็เหมือนกับที่คนสนุกไปกับการดูเรื่อง Downton Abbey (2010-2015) ที่แต่งขึ้น และซีรีส์ฝั่งอังกฤษ หรือ อเมริกันก็ทำให้ประวัติศาสตร์ชวนฝันกว่าเรื่องจริงหลายเรื่อง และก็ไม่ได้ตรงตามประวัติศาสตร์ด้วย”

อย่างไรก็ตามอาจารย์บันบยองยูลเชื่อว่า ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของเกาหลีก็น่าสนใจไม่แพ้กัน อย่างเรื่อง Tears of the Dragon (1996-1998) และ Jeong Do Jeon (2014) ก็สร้างมาจากเรื่องจริง อาจารย์บันบยองยูลบอกว่าซีรีส์แบบนี้จะทำให้ผู้ชมเข้าใจประวัติศาสตร์และผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลานั้นได้ดีขึ้น

จองด๊อกฮยอน นักวิจารณ์วัฒนธรรมป๊อป ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นหลังจากมีการถกเถียงในประเด็นนี้ว่า ทั้งภาพยนตร์และซีรีส์ ต่างเป็นเครื่องมือที่สร้างเพื่อความบันเทิง ด้วยเหตุผลนี้ จะเป็นเรื่องจริง หรือ แต่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เนื้อเรื่องที่น่าสนใจ

“ซีรีส์เรื่อง Squid Game ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และทำให้ผู้ชมอยากดูคอนเท้นท์ของเกาหลีเยอะขึ้น ก่อนหน้านั้น แฟนต่างประเทศก็คุ้นเคยกับเกาหลียุคโชซอนอยู่แล้ว ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับเรื่อง Kingdom ทำให้เห็นว่าคอนเท้นท์ประวัติศาสตร์เกาหลีทั้งซีรีส์และภาพยนตร์นั้นน่าสนใจและแข่งขันในตลาดระดับโลกได้

ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ The King’s Affection ขึ้นเทรนด์โลกด้วยเช่นกัน” จองด๊อกฮยอกบอก “ปัญหาก็คือ ผู้ชมต่างประเทศไม่มีความรู้มากพอว่าประวัตศาสตร์เกาหลีอันนี้คือเรื่องจริงหรือไม่ แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของพวกเขาคือเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ ขนาดคนดูในประเทศเองที่ชื่นชอบซีรีส์เกาหลีย้อนยุคยังมีความคิดเห็นแบบเดียวกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดของซีรีส์คือความบันเทิง ไม่ใช่การให้ความรู้แก่คนดูเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ จะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งก็แล้วแต่ สิ่งที่สำคัญคือซีรีส์จะได้รับความนิยมหรือไม่”
 

นอกจากนี้ จองด๊อกฮยอนยังบอกอีกว่า เรื่องราวโรแมนติกในใส่ลงไปในซีรีส์ย้อนยุค ช่วยให้เนื้อเรื่องน่าติดตามมากขึ้น ความรักต้องห้ามเป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกมาเล่าในซีรีส์ที่มีฉากหลังในยุคปัจจุบันอยู่หลายเรื่องแล้ว แต่หากเปลี่ยนฉากหลังเป็นยุคโชซอน ที่มีการแบ่งแยกชนชั้นอย่างรุนแรงมากกว่าปัจจุบัน ความรักต้องห้ามก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ด้วยอุปสรรคที่มากกว่า ทำให้ต้องคอยลุ้นว่าพระ-นางจะผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาได้หรือไม่ อย่างไร ซึ่งนี่เป็นข้ออธิบายว่าทำไมเรื่องราวโรแมนติกถึงเป็นสิ่งที่ทำให้ซีรีส์ย้อนยุคน่าสนใจได้นั่นเอง