ภาพหลอน!! เมืองผีที่ถูกทิ้งร้างนานกว่าครึ่งศตวรรษในประเทศอิตาลี
2015-07-17 11:48:48
Advertisement
คลิก!!!

ภาพหลอน!! เมืองผีที่ถูกทิ้งร้างนานกว่าครึ่งศตวรรษในประเทศอิตาลี

ภาพถ่ายสุดหลอนที่ดูทั้งสวยงามและน่าขนลุกนี้ ได้รับการขนานนามว่าเป็น "เมืองผี" ในประเทศอิตาลี ว่ากันว่าเมืองนี้ได้ถูกปล่อยทิ้งร้างเอาไว้เพราะสาเหตุเกิดจากการหลบหนีศึกสงครามและภัยพิบัติทางธรรมชาติ

ภาพถ่ายสุดหลอนชุดนี้ได้แสดงให้เห็นถึงหมู่บ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองในอดีต จนกระทั่งเวลาผ่านไปกว่าทศวรรษผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองแห่งนี้ก็ได้ย้ายถิ่นฐานกันออกไปจนหมด  

เมืองเก่าแก่แห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเมืองอไปซ์ จังหวัดเบเนเวนโต้ ประเทศอิตาลี ครั้งหนึ่งเมืองแห่งนี้เคยเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้ผู้คนเดินทางย้ายกันออกไปและไม่หวนกลับมาที่แห่งนี้กันอีกเลย   

สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองเบเนเวนโต้ มันถูกสร้างขึ้นในยุครุ่งโรจน์ของจักรวรรดิโรม  

หากได้ลองเดินไปรอบๆ ถนนร้างของเมืองในวันนี้ จะได้พบกับความลับของเมือง ซึ่งย้อนกลับไปช่วงศตวรรษที่ 8  

เหรียญโบราณ, รูปปั้นรัฐบุรุษ และเครื่องปั้นดินเผา มีวางไว้กระจายอยู่ทั่วทุกที่ในชุมชน ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะเคยเป็นเขตการค้าที่คึกคักจนกระทั่งถึงในช่วงศตวรรษที่ 20  

เมืองแห่งนี้ได้รับการตั้งชื่อจากขุนนางชาวโรมันและนักชิมอาหารชื่อดัง มาร์คัส กาวิอุส เอพิซิอุส ผู้ซึ่งได้ทำการเขียนตำราอาหารโรมันเป็นคนแรก  

เขาได้รับมอบหมายจากวุฒิสภา ในการแจกจ่ายที่ดินให้กับทางกองทหาร เพื่อตอบแทนที่พวกเขาได้ปฏิบัติหน้าที่และมีความจงรักภักดีในการต่อสู้กับศัตรูจากกรุงโรม  

หมู่บ้านแห่งนี้เป็นเหมือนกับพิพิธภัณฑ์ที่เปิดโล่ง และถูกหยุดเวลาทุกสิ่งไว้ให้เหมือนกับในสมัยโรมัน อีกทั้งเรายังจะได้เห็นซากปรักหักพังของบ้านพัก โรงเหล้า และสะพาน ในขณะที่รูปปั้นของผู้พิพากษาและสุสาน ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่แห่งนี้ด้วย  

นอกจากนั้นยังมีป้อมปราการที่มีคุกใต้ดิน และมีอุโมงค์ซึ่งเป็นทางออกที่ปลอดภัยจากหมู่บ้านแห่งนี้  

มีผู้คนนับพันเคยอาศัยอยู่ที่เมืองอไปซ์ ซึ่งตั้งห่างออกไป 70 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดเนเปิลส์ มานานหลายศตวรรษ จนกระทั่งได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว 2 ครั้ง ซึ่งได้ทำลายล้างเมืองอไปซ์ในปี 1962 และทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 17 คนในเวลานั้น

สำหรับคนที่ไม่เสียชีวิตก็ต่างพากันย้ายหนีออกจากเมืองกันไปในที่ปลอดภัย ทางด้านของรัฐบาลได้อพยพคนกว่า 6,500 คน ย้ายขึ้นไปอยู่เมืองใหม่ที่ตั้งอยู่บนภูเขา ซึ่งยังสามารถที่จะมองเห็นเมืองเก่าแห่งนี้ได้อีกด้วย  

ต่อมาเป็นอีกเมืองที่ได้มีการย้ายผู้คนออกไป และเหลือทิ้งไว้เพียงแค่ซากปรักหักพังของปราสาท โบสถ์ และวิหาร ในยุคสมัยกลาง  

คนสุดท้ายที่อยู่ในเมืองแห่งนี้ คือชายช่างตัดผมเก่าแก่ของเมือง ผู้ซึ่งปิดร้านของเขาไปแล้วเมื่อปี 2012 ที่ผ่านมา  

เมือง ซาน ปิเอโตร อินฟิเน ตั้งอยู่ห่างออกไป 150 กิโลเมตร ทางตอนใต้ของกรุงโรม ถูกค้นพบโดยชาวซานนิตี้ ก่อนที่พวกเขาจะถูกทำร้ายทารุณอย่างโหดเหี้ยมจากชาวโรมัน ซึ่งในตอนนี้ก็จะเห็นสิ่งที่ถูกทิ้งไว้คือซากหินก่อนยุคประวัติศาสตร์

เมื่อถูกขับไล่อย่างป่าเถื่อนจากชาวเยอรมัน หลังจากยุคการล่มสลายของกรุงโรม ทำให้ดินแดนแห่งนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเซนต์เบเนดิกท์ แต่เมืองซาน ปิเอโตร อินฟิเน ก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นสถานที่รวมตัวของกองกำลังโจรที่ซ่อนตัวจากสถาบันกษัตริย์ โดยพวกเขาได้พยายามต่อสู้เพื่อให้เกิดการรวมตัวกันของประเทศอิตาลี  

หมู่บ้านแห่งนี้เกิดเรื่องราวความขัดแย้งขึ้นอีกครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งการสู้รบในเมืองซาน ปิเอโตร อินฟิเน ได้เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปี 1943 ระหว่างกองกำลังพันธมิตรและชาวเยอรมัน

ท่ามกลางการสู้รบอย่างหนักตลอดระยะเวลากว่า 15 วัน ทำให้เมืองนั้นพังทลาย และผู้คนในเมืองต่างพากันไปหลบหนีอยู่ในถ้ำ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งในตอนนั้น

หลังจากเหตุความขัดแย้งในครั้งนั้น พื้นที่แห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดย้อนกลับมาพักอาศัยกันอีกเลย และเหลือทิ้งไว้เพียงเมืองร้างนับตั้งแต่ตอนนั้นมา

เมื่อได้ลองไปสัมผัสที่เมืองนี้อีกครั้งในปี 2015 มันยากที่จะนึกภาพตามได้ว่าเมืองนี้เคยเป็นตลาดค้าทาสที่คึกคักของชาวซาราเซ็นส์มาก่อน ที่นี่จะมีผู้หญิงชาวเอเชียถูกขายให้กับผู้ที่ชนะการประมูลในช่วงพันปีที่ผ่านมา  

เหล่าโจรสลัดได้พากันเดินทางมาที่ชายฝั่งของแคว้นกัมปาเนีย เพื่อลักพาตัวสาวงาม ผิวสวย ตาสีฟ้า และพาตัวพวกเธอไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย เพื่อทำการขายเป็นทาสให้อยู่ที่นั่น

ด้วยความหวาดกลัวของชาวซาราเซ็นส์ ทำให้พวกเขาได้ทำการสร้างหมู่บ้านตามแนวผาหิน โดยพวกเขาเชื่อกันว่าจะทำให้โจรสลัดนั้นผ่านเข้ามายังหมู่บ้านไม่ได้  

ในที่สุดชาวซาราเซ็นส์ก็ถูกตัดขาดจากชาวอิตาเลียน และทำให้เมืองนี้ตกอยู่ภายใต้การดูแลของพระสันตะปาปา ผู้ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงเมืองแห่งนี้ให้กลายเป็นอาศรม เพื่อดึงดูดความสนใจของเหล่าฤาษีและพระสงฆ์ในเวลานั้น

แต่เนื่องจากเมืองแห่งนี้ ไม่มีถนนที่ตัดเข้าไป ไม่มีโรงเรียน หรือสิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์ ทำให้มันกลายเป็นสถานที่ที่เงียบสงบขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่หลังจากที่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชากรในเมืองแห่งนี้ก็เริ่มลดลง เนื่องจากผู้คนได้ออกไปแสวงหาที่อยู่อาศัยที่ดีกว่าเดิม ซึ่งชาวเมืองก็ได้ต่างพากันย้ายไปอยู่ในส่วนต่างๆ ของประเทศอิตาลีและในประเทศสหรัฐอเมริกา  

เมืองผีอีกแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลีคือเมืองรอสซิกโน ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดเนเปิลส์ ซึ่งถูกขนานนามว่าปอมเปอีแห่งศตวรรษที่ 20 หลังจากที่ประชาชนต้องหลบหนีออกจากเมือง เนื่องจากเหตุภัยธรรมชาติทั้งน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม   

สถานที่แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 19 โดยชาวรอสซิกโน เพื่อมีไว้สำหรับรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่สำหรับชาวเมืองหลายๆ คนในปี 1902 นั้น ได้มีผู้คนจำนวนมากต่างพากันย้ายถิ่นฐานออกจากเมืองแห่งนี้กัน  

หลังจากนั้นในปี 1950 รัฐบาลได้มีคำสั่งให้ชาวบ้านย้ายออกมาจากหมู่บ้านแห่งนี้ไปทั้งหมด

แต่ด้วยความรวดเร็วในการย้ายออกของผู้พักอาศัย เลยทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ถูกขนานนามว่าเป็นเมืองปอมเปอีในปี 1900  

สำหรับนักท่องเที่ยวที่แวะมาเยี่ยมชมยังเมืองรอสซิกโน ก็จะได้พบกับเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยมีผู้คนในที่แห่งนี้ได้ใช้งานสิ่งของเหล่านั้นกัน   

ล่าสุด เมืองรอสซิกโนก็กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวกันไปแล้ว  

 

แปลจาก http://www.dailymail.co.uk

โดย http://www.popcornfor2.com

 

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X