อดัม ยอช” แร็ปเปอร์ผิวขาวผู้มีส่วนต่อความยิ่งใหญ่ของทริโอ Beastie Boys กลุ่มศิลปินแนวฮิปฮอปที่โด่งดังที่สุดกลุ่มหนึ่งในประวัติศาสตร์ได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 47 ปี

อดัม ยอช หรือ “MCA” เสียชีวิตลงแล้วที่นิวยอร์ก เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ตามเวลาท้องถิ่น หลังต่อสู้กับโรคมะเร็งมา 3 ปี ตั้งแต่ตรวจพบเนื้อร้ายที่ต่อมน้ำลายเมื่อปี 2009 และเขาก็พยายามรักษาตัวเพื่อต่อสู้กับมันมาตลอด

แม้เจ้าตัวจะเชื่อว่ายังมีความหวัง แต่อาการที่ทรุดลงทำให้เขาและเพื่อนๆ ต้องยกเลิกคอนเสิร์ตหลายๆ รอบของ Beastie Boys และเลื่อนการวางจำหน่ายอัลบั้ม Hot Sauce Committee, Pt. 2. งานชุดล่าสุดไปหลายครั้ง

นับว่า ยอช ไม่ได้แสดงต่อหน้าสาธารณะมาตั้งแต่ปี 2009 แล้ว นอกจากนั้นยังพลาดไม่ได้ร่วมงานการบันทึกชื่อ Beastie Boys ลงในหอเกียรติยศของร็อกแอนด์โรลเมื่อเดือนที่แล้วด้วย

ย้อนอดีต Beastie Boys

อดัม ยอช หนุ่มเชื้อสายยิวกับกลุ่มเพื่อนๆ ได้ร่วมกันก่อตั้งวง Beastie Boys ขึ้นในปี 1979 และกลายเป็นที่ฮือฮาด้วยความที่พวกเขาเป็นกลุ่มศิลปินผิวขาว ในวงการฮิปฮอปที่ในยุคนั้นหาได้น้อยมาก

ตลอด 30 ปีของการทำงาน Beastie Boys มีอัลบั้มขึ้นถึงอันดับหนึ่ง 4 แผ่น พร้อมยอดขาย 40 ล้านแผ่นทั่วโลก ได้รับการจดจำทั้งในฐานะศิลปินจอมกวน, ผู้มีส่วนต่อความเปลี่ยนแปลงของฮิปฮอป และนำดนตรีแนวนี้สู่แวดวงดนตรีกระแสหลัก จนกลายเป็นดนตรีแนวที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน

นีล พอร์ตนาว ประธานของสถาบันบันทึกเสียงกล่าวยกย่อง ยอช และงานของเขาว่า “การผสมผสานดนตรีหลายแนวทาง และสีสันหลายแบบของพวกเขา ถือว่ามีส่วนช่วยเหลือนำแร็ปไปสู่คนในวงกว้างได้จริงๆ ยอช ถือได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ และเปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ความคิดสร้างสรรค์จริงๆ”

ยอช ผู้เติบโตขึ้นมาในย่านบรู๊คลิน ร่วมกับเพื่อนสมัยเรียนชั้นมัธยมปลายอย่าง ไมเคิล “Mike D” ไดมอนด์ ก่อตั้งวงแนวฮาร์ดคอร์พังก์ขึ้นมาเพื่อเล่นโชว์ในวันเกิดปีที่ 17 ของเขาเอง นับเป็นจุดเริ่มต้นในเส้นทางสายดนตรี

อย่างที่ อดัม คีฟ โฮโรวิตซ์ หรือ “Ad-Rock” สมาชิกอีกคนของวง บอกเล่าผ่านจดหมายที่เขียนเพื่อไว้อาลัยให้กับ ยอช ว่าพวกเขามักจะเล่นดนตรีที่บ้านในบรู๊คลิน “ที่ซึ่งพวกเราซ้อมดนตรีกันในวันร้อนๆ ที่บรู๊คลิน ตอนเลิกเรียน เปิดหน้าต่างเอาไว้จนเพื่อนบ้านหนวกหูกันไปหมด”

ทั้งนี้ วงได้เปลี่ยนมาเล่นดนตรีแนวฮิปฮอปหลังจากได้ โฮโรวิตซ์ มาร่วมวงนี่เอง และมุ่งมั่นถึงขั้นที่ ยอช ตัดสินใจลาออกจากวิทยาลัยบาร์ดหลังจากศึกษาไปได้ 2 ปีแล้ว

Beastie Boys ประสบความสำเร็จทันทีกับอัลบั้มชุดแรก Licensed to Ill ซึ่งมีเพลงดังๆ อย่าง (You Gotta) Fight for Your Right (To Party!) และกลายเป็นอัลบั้มเพลงแนวฮิปฮอปชุดแรกที่ขึ้นไปติดอันดับ 1 ของบิลบอร์ดด้วย

ด้วย 7 อัลบั้มกับเส้นทางในวงการดนตรีหลายสิบปี Beastie Boys ยังแสดงออกถึงความทะเยอทะยานในการแสวงหาแนวทางใหม่ๆ อยู่ตลอด

หลังอัลบั้มชุดแรกโด่งดังมหาศาล พวกเขาปล่อยงานเพลงชุดที่ 2 Paul's Boutique ออกมาในปี 1989 และลบคำสบประมาทว่าสามหนุ่มแร็ปผิวข่าวน่าจะโดดเด่นได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าว กับงานชุดแรกเท่านั้น

ซึ่งแม้จะมียอดขายที่ลดลง แต่งานชุดที่ 2 นี้ก็ได้รับเสียงชมจากเหล่านักวิจารณ์ Rolling Stone ถึงกับยกให้เป็นอัลบั้มเพลงอันดับ 156 ตลอดกาลที่เคยมีมา ในการจัดอันดับเมื่อปี 2003 เลยทีเดียว

ในอัลบั้มชุดที่ 3 Check Your Head ซึ่งออกจำหน่ายเมื่อปี 1993 Beastie Boys ยังฉีกขนบฮิปฮอปด้วยการหยิบจับเครื่องดนตรีมาเล่นในการบันทึกเสียงเอง โดย โฮโรวิตซ์ รับตำแหน่งมือกีตาร์, ไดมอนด์ ตีกลอง และยอช เล่นเบส

บทเพลงของพวกเขาเป็นส่วนผสมของความหลักแหลม, ขบขัน และจังหวะ ที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว นอกจากนั้นขณะที่ศิลปินแนวฮิปฮอปส่วนใหญ่มักจะฉายภาพความโดดเด่นส่วนบุคคล แต่ Beastie Boys กลับมีภาพของทีมเวิร์กอันแข็งแกร่ง ยอช เองก็ยอมรับว่าเขาแตกต่างจากแร็ปเปอร์โดยทั่วๆ ไป

ความโด่งดังของ Beastie Boys น่าจะมาถึงจุดสูงสุดกับอัลบั้มชุด Ill Communication ในปี 1994 ซึ่งนอกจากงานเพลงแล้วมิวสิกวิดีโอเพลงจากอัลบั้มชุดนี้ก็โด่งดังได้รับการพูดถึงมากมายทั้ง Sure Shot และ Sabotage ที่ได้ผู้กำกับคนดังแห่งแวดวงมิวสิกวิดีโอ สไปซ์ จอน มากำกับให้

“อดัม ยอช” ตำนานแห่งวงการดนตรี, ชาวพุทธแห่งฮิปฮอป

ยอช ไม่ได้จำกัดตัวเองในวงการเพลงเท่านั้น เขายังกำกับหนังภายใต้ชื่อแฝง “เนธาเนียล ฮอร์
โบลเวอร์” มีผลงานเป็นมิวสิกวิดีโอให้กับวง Beastie Boys รวมถึงภาพยนตร์บันทึกแสดงสดของวงที่ชื่อว่า Awesome: I F-----' Shot That! และสารคดีเกี่ยวกับเบสบอล Gunnin' for that (No.) 1 Spot และยังก่อตั้งบริษัทจัดจำหน่ายหนังอิสระ Osciolloscope Laboratories ขึ้นเมื่อปี 2008 ด้วย

นอกจากงานเพลงแล้ว ชีวิตด้านอื่นของ ยอช ก็ยังได้รับความสนใจไปด้วย

เป็นที่รู้กันว่าเขาเป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง ยอช ยังมีส่วนต่อกิจกรรมเคลื่อนไหว เพื่อเรียกร้องสิทธิให้กับชาวทิเบต โดยเขาร่วมก่อตั้งกองทุน Milarepa เพื่อสนับสนุนกิจกรรมของทิเบต ซึ่งสามารถระดมทุนได้มากมาย

ในปี 1996 ยอช และ Milarepa ได้จัดคอนเสิร์ตเพื่อการกุศล ในซานฟรานซิสโก ซึ่งทำรายได้มากมายให้กับกองทุน และเป็นจุดเริ่มต้นของคอนเสิร์ตอีกหลายครั้งในตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา

กับการจากไปของศิลปินระดับตำนานแห่งวงการฮิปฮอปคนนี้ มีผู้คนในวงการเพลงมากหน้าหลายตาที่ได้กล่าวไว้อาลัยให้กับเขา

ริค คริม รองประธานฝ่ายศิลปิน และดนตรีของ Vh1 ได้กล่าวถึงแร็ปเปอร์ผู้ล่วงลับว่ามีทั้งด้านที่สนุกสนานและจริงจังอยู่ในตัวคนคนเดียว “เขาเป็นทั้งตัวป่วน อยู่เบื้องหลังสิ่งแผลงๆ มากมาย แต่ถ้าคุณอยากจะคุยกับเขาว่าโลกเป็นยังไงบ้าง, ประเด็นทางสังคม และทุกเรื่อง เขาก็จะกลายเป็นคนละคนเลย”

ก่อนหน้านี้ในงานประกาศชื่อศิลปินเข้าหอเกียรติยศร็อกแอนด์โรล ชัค ดี. แห่ง Public Enemy วงฮิปฮอปรุ่นราวคราวเดียวกัน ได้ยกย่องว่า ยอช และ Beastie Boys“ เป็นผู้ทำลายแบบแผนเดิมๆ”

ส่วน รัสเซล ซิมมอนส์ แห่ง Def Jam ที่เคยจัดจำหน่ายอัลบั้ม Licensed to Ill ของ Beastie Boys ก็ยกย่องเขาว่า “อดัม เป็นคนที่สุดยอด เป็นศิลปินที่เซนซิทีฟมาก ... Beastie Boys คือคนหนุ่มแสบสามคนที่สร้างประวัติศาสตร์ พวกเขาสร้างลุคใหม่ให้กับแร็ป และฮิปฮอป เป็นกลุ่มที่พิสูจน์ว่าแร็ปจะมาจากใครก็ได้ ... ไม่ใช่แค่คนเพียงหยิบมือ
เท่านั้น”

Q-Tip แร็ปเปอร์สมาชิกวง A Tribe Called Quest กลุ่มศิลปินที่แจ้งเกิดในยุค 80's เหมือน Beastie Boys ก็ชื่นชมยอชว่า “เป็นผู้บุกเบิกและสร้างสรรค์
หนทางให้กับพวกเรามากมาย” และสำหรับแร็ปเปอร์รุ่นน้อง Nas ก็กล่าวว่าเขาได้สูญเสีย “พี่ชาย” อีกคนไป

สำหรับ เอ็มมิเน็ม แร็ปเปอร์ผิวขาวรุ่นน้องผู้โด่งดัง เป็นอีกคนที่ได้กล่าวยกย่อง ยอช ว่า “ผมคิดว่ามันชัดเจนอยู่แล้วว่า Beastie Boys มีอิทธิพลต่อตัวผมเอง และผู้คนมากมายเพียงใด พวกเขาคือผู้บุกเบิก, เป็นคนริเริ่ม และจะเป็นที่คิดถึงเป็นอย่างมากแน่นอน”

http://www.manager.co.th