หนังคนละม้วน “เอ” โต้ล่อลวงอนาจาร 5 นศ. ยันอีกฝ่ายสมยอม
2014-11-13 22:25:13
Advertisement
คลิก!!!

“เอ วิทิต แลต” แถลงเปิดใจคดีฉาวหลอกแคสติ้งล่อลวงอนาจาร 5 นักศึกษาสาว รับมีออรัลเซ็กซ์ในรถ แต่อีกฝ่ายสมยอม ส่วนตนถอยตั้งหลัก พร้อมตั้งทนายสู้คดี โบ้ย “ภาม” ผู้กำกับอยู่เบื้องหลังทั้งหมด ด้าน “ขนมจีน” ปล่อยโฮ เมาท์แรงเอาตัวเข้าแลกเล่นหนังเศียรสยอง 
       
       ออกมาเปิดใจในรายการ สน.แสนแสบ เพื่อชี้แจงความบริสุทธิ์ของตนเอง หลังโดนกล่าวหากรณีล่อลวงอนาจาร 5 นักศึกษาจนฉาวโฉ่ไปทั้งวงการ สำหรับนักแสดง “เอ วิทิต แลต” โดยก่อนหน้านั้นไม่นาน เจ้าตัวได้เดินทางไปเปิดใจต่อรายการ “วู้ดดี้เกิดมาคุย” หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวได้เพียง 2 วัน พร้อมยืนยันไม่คิดเอาชื่อเสียงตนเองที่อยู่ในวงการมานานกว่า 20 ปี มาแลกกับเรื่องดังกล่าว ส่วนตนไม่เสียใจที่โดนแจ้งตำรวจจับ แต่เสียใจที่นอกใจภรรยา และลูก ยืนยันไม่โกหก พูดความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์
       
       นอกจากนี้ เอยังได้ระบุว่าเรื่องทั้งหมดเริ่มจากการแคสติ้งแสดงหนังอีโรติก และตนได้รับการติดต่อจาก “ภาม รังสี” ผู้กำกับเรื่อง “เศียรสยอง” ให้ช่วยมาดูงานแคสติ้งนี้ ซึ่งจากการได้พูดคุยเรื่องการแคสติ้งกับนักศึกษาสาวจนใช้ระยะเวลาถึงเที่ยงคืนนั้น ก็มีความรู้สึกตามสัญชาตญาณผู้ชายทั่วๆ ไปว่า “คงแคสต์ด้วยและได้เอาด้วย” โดยในระหว่างนั้น ภาม ได้ลองใจให้นักศึกษาถอดเสื้อผ้า และทำการแคสต์ในรถยนต์ นักศึกษาได้ถอดส่วนล่างออกทั้งหมดโดยไม่มีใครบังคับขู่เข็ญ ทุกอย่างทำด้วยความเต็มใจ และได้ทำออรัลเซ็กซ์ให้ เอยอมรับว่าตอนนั้นตนมีอารมณ์มาก ลืมทุกอย่าง ลูกเมียก็ลืม คิดว่าได้มีเพศสัมพันธ์แน่ ๆ แล้ว เพราะดูจากท่าทางของนักศึกษาก็มีการพูดคุยกันอย่างเต็มใจทุกอย่าง แต่พอจะถึงช่วงที่ต้องมีเพศสัมพันธ์จริงๆ เอก็คิดถึงการป้องกันจังขอหยุดเพื่อไปซื้อถุงยางก่อน และยังไม่มีเพศสัมพันธ์กันแต่อย่างใด
       
       ในเวลาต่อมา เมื่อเดินทางไปถึงโรงแรม ภาม ได้ให้น้องนักศึกษาทั้ง 5 คนถอดเสื้อผ้าออกให้หมดเพื่อทำการแคสติ้ง แต่ชั่วขณะนั้นกลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างแรง ทำให้ตนรู้สึกกลัวและระแวงว่าอาจจะต้องเป็นแฟนหนุ่มของนักศึกษาไม่คนใดก็คนหนึ่ง จึงหนีออกมาเพื่อเอาตัวรอด เพราะเกรงว่าคนที่เคาะนั้นอาจจะมีอาวุธที่จะนำมาทำร้ายตน จากนั้นตนก็ไม่รับรู้เรื่องต่างๆ นอกจากที่ภามโทร.มาขอความช่วยเหลือในเรื่องที่ ภามคิดว่าภามไม่ปลอดภัย มีคนคอยตามเหมือนจะทำร้าย เอ จึงบอกให้ ภาม พยายามหาทางเข้าสถานีตำรวจเพื่อรักษาชีวิตของภามเอาไว้ให้รอดก่อน
       
       เอรับตนตกใจเพราะโดนโจมตีอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นข่าวที่บิดเบือนความจริงในเรื่องของอายุนักศึกษาที่ในข่าวบอกอายุ 18-19 ปี แต่จริงๆ แล้ว นักศึกษานั้นอายุ 23-24 ปี และขอเคลียร์ว่าเรื่องนี้ตนไม่ได้ใช้ความเป็นดาราหลอกเพื่อจะได้มีเพศสัมพันธ์แน่นอน และที่โดนกล่าวหาว่าหลอกให้มาแคสติ้งนั้น ตนขอไม่ออกความเห็น และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ไม่ใช่แค่ปัดให้ ภาม รับผิดชอบ แต่เป็นไปได้ว่า ภามอาจจะหลอกทุกคนมา แต่ตนไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ เพื่อจัดฉากกับภามทั้งสิ้น ส่วนเรื่องที่ตนบังคับหลอกขืนใจนั้น ไม่มีทาง เพราะขนาดตอนอยู่ในรถ นศ.ยังถามตนว่าจะให้ถอดเลยไหมพี่ อีกด้วย โดยเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้ เอ วิทิต แลต รู้สึกเสียใจอย่างมากต่อภรรยา และถ้ามีคนมาเสนอตัวให้ก็จะไม่เอาแล้ว เพราะเข็ด ไม่อยากเอาชื่อเสียงที่ตนอยู่ในวงการมา 20 กว่าปี มาเสียกับเรื่องแบบนี้อีกแล้ว
       
       นี่คือคำสัมภาษณ์ของเอ วิทิต แลต ในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ก่อนเจ้าตัวจะเดินทางมายังตึกแกรมมี่พร้อมทนายส่วนตัว "รัตนะ ฐานยศปัญญา" เพื่อเปิดใจชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวอีกครั้ง ซึ่งคำสัมภาษณ์ก็ตรงกับที่เปิดใจกลางรายการวู้ดดี้ โดยยืนยันตนพร้อมตั้งทนายสู้คดี และต้องออกมาพูดความจริง เพราะหากไม่พูดตนจะไม่มีที่ยืนในสังคม ทั้งที่อีกฝ่ายยินยอมแต่กลับโยนขี้ใส่ตน
       
       เอ : “ผมยืนยันว่าผมไม่ได้ทำการอนาจารหรือล่อลวงนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดัง อันนี้ผมขอปฏิเสธหมดเลยว่าไม่เป็นความจริง ไม่มีการล่อลวง ไม่ได้มีการใช้กำลังบังคับขู่เข็น ใช้อำนาจอะไรก็แล้วแต่ที่ไปบังคับจิตใจน้องๆ เขาเพื่ออนาจาร ข่าวที่ออกมาทำให้ผมเสื่อมเสียมาก ผมอยู่ในวงการนี้มา 20 กว่าปีแล้ว ผมไม่เอาอาชีพการงาน ชื่อเสียงผมที่อยู่มาตั้งนานมาแลกกับเรื่องบ้าๆแบบนี้ อีกอย่างผมเองก็มีครอบครัวแล้ว”
       
       “ผมไม่ได้เป็นคนนัดน้องๆ คนที่นัดคือภาม แล้วผมไม่รู้ว่าเขานัดกันยังไง ผมไปถึงก็มีน้องๆ นั่งกันอยู่แล้ว จากที่ภามเล่าคือเขาจะแคสติ้งหนังเรื่องใหม่เป็นหนังอีโรติก ซึ่งภามเขาก็คุยชัดเจนว่าการแคสต์ยังไง ต้องเปลื้องเสื้อผ้านะ ตรงนี้ผมก็ฟังอยู่ด้วย น้องๆ เขาก็โอเค เขาบอกไม่เป็นไร เขาก็ถามอีกว่าทำไมต้องแก้ก็ได้อยู่แล้วโอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ อยู่แล้ว เขาก็โอเค ยินยอม ซึ่งเองก็ไม่ทราบว่าที่เขาอ้างว่าเป็นนักศึกษานั่นเขาเป็นนักศึกษาจริงหรือเปล่า อายุก็บรรลุนิติภาวะกันหมดแล้ว 23-24 ปี ซึ่งคุณก็จะต้องมีวิจารณญาณตรงนั้นว่าคุณโอเคหรือเปล่า ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นผมเห็นก็โอเคกันหมด ก่อนที่จะไปที่พักที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่มีทีมงานอยู่แล้ว เราได้ไปผับกันก่อนเพื่อทำความรู้จักกัน เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นระหว่างที่จะไปจากร้านอาหารคือคุณภามได้ขับรถมา มีน้องคนหนึ่งนั่งกับเขา ส่วนผมนั่งด้านหลังกับน้อง ส่วนน้องที่เหลือ 5-6 คนเขาก็มีรถส่วนตัวมาแล้วจะตามไปที่ผับ ระหว่างที่กำลังเดินทางไปผับก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นตรงนั้น…”
       
       ทนาย : “ต้องเก็บข้อมูลตรงนี้ไว้ก่อน ยังไม่สามารถบอกได้เดี๋ยวจะกระทบรูปคดี”
       
       เอ : “ตรงนี้ผมได้ปรึกษากับทนายแล้ว แต่มันมีเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกว่า เออ...อะไรประมาณนั้น ผมบอกหมดเลยนะว่ามันไม่มีการบังคับขู่เข็นอะไรทั้งสิ้น ระยะเวลาที่อยู่ร้านอาหารก็ 2 ชั่วโมงแล้วคุณต้องไตร่ตรองคิดได้เอง แต่คุณก็ยังเลือกที่จะไปอยู่ ไปที่ผับ น้องบางส่วนเขาบอกเขามีธุระต่อตอนเช้าก็ขอกลับไป ก็จะมีน้องเหลืออยู่ 2 คน ซึ่งกว่าจะไปถึงโรงแรมก็ปาเข้าไป 6ชั่วโมงแล้ว ถ้าคุณรู้สึกว่ามันไม่ใช่ คุณน่าจะคิดได้แล้ว แล้วมันก็มีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันโอเค ก็ไปถึงที่โรงแรม ก็พาน้องเขาไปดูที่ตัดต่อ ก็ให้น้องดูว่าน้องเคยเห็นนักแสดงคนนี้หรือเปล่า ให้เล่นแบบเขาเล่นได้ไหม จนกระทั่งเวลาต่อมา ช่วงที่ออกจากที่พัก ภามเขาได้ไปส่งน้องอีกคน ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นผมไม่รู้ ผมก็พาน้องสองคนนี้ไปที่โรงแรม อีกสักครึ่งชั่วโมงคุณภามก็กลับมา ก็คุยกับน้องพักหนึ่งว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างนี้นะ ภามก็เลยพาไปอีกห้องซึ่งเปิดไว้อยู่แล้ว ก็มีผมมีภามแล้วก็น้องอีกสองคน ทั้งหมด 4 คนชาย 2 หญิง 2 น้องที่อยู่กับผมก็คือคนที่อยู่กับผมมาตลอดตั้งแต่แรกแล้ว มีการส่งสารอะไรกันบ้างอย่างว่าโอเคนะ น้องเขาก็โอเค ผู้ชายก็อ่ะนะ โอเค พอไปถึงก็บอกว่าจะเล่นบทบาทกันนะ พี่จะเล่นเป็นคนที่ไม่ได้สติ น้องเป็นผี เราก็คุยกันมาจากที่ร้านอาหารแล้วว่าจะต้องเปลื้องผ้านะนั่นนี้ น้องเขาก็บอกว่าได้หมดเลย มันเป็นความยินยอมของเขาแล้ว ไม่ได้อะไร ระยะเวลาตรงนั้นน่าจะประมาณ 3-5นาที ก็มีเสียงเคาะประตูปังๆๆ มีเสียงโวยวาย ผมในความรู้สึกของผู้ชายผมก็พูดว่า เออ...อะไรยังไง แล้วก็มีคนถามผมว่าถ้าผมบริสุทธิ์ใจจริงจะหนีทำไม ชั่วโมงนั่นเขาอยู่หลังประตูแล้วผมไม่เห็น ผมไม่รู้ว่าเขามาอาวุธอะไรหรือเปล่า ผมเองเป็นคนที่มีคนรู้จักเยอะ ผมเลยถอยไปตั้งหลักทางด้านหลัง”
       
       บอกหนีเอาตัวรอดเพราะหวั่นแฟนของอีกฝ่ายมีปืน
       “จะบอกว่าลวนลาม เรียกว่าลวนลามผมดีกว่าไหม ผมเป็นสุภาพบุรุษพอนะ ผมจะไม่ทำแบบนั้นแน่ ใครที่เคยเล่นบทเลิฟซีนกับผมจะรู้เลยว่าผมไม่เคยเอาเปรียบเขาเลยในเรื่องตรงนี้ (น้องบอกว่าส่งไลน์บอกแฟนให้มาช่วย) ถ้าน้องใช้ไลน์ผมต้องเห็นนะ ห้องมันไม่ได้เปิดไฟหมดก็จริง ถ้ามีไลน์เด้งไฟมันต้องขึ้น ที่ผมอยู่ด้วยกันผมไม่เห็นน้องเขาถืออะไรเลย ไม่มีการส่งไลน์ ถ้ามีการส่งมันต้องมีแสงมีอะไร เพราะเราเองต้องโปรเท็กต์ตัวเองด้วยเหมือนกัน เราก็กลัวเหมือนกันนะ ไม่ใช่เราไม่กลัว พอมีเสียงปังๆๆผมก็ต้องเอาตัวรอดก่อนแล้ว ผมก็เก็บของวิ่งไปรถ ซึ่งโรมแรมตรงนั้นมันเป็นโรงแรมชั้นเดียว ประตูสไลด์ ขึ้นรถได้ปุ๊บผมก็ไปเลย ไปขอตั้งหลักก่อน ในข่าวบอกว่ามีการไล่ล่าผม ความจริงคือไม่มี ผมไปจากตรงที่เกิดเหตุนั้นก่อนภาม ผมไปจอดรถรอที่เซเว่น เพื่อรอภามว่าจะยังไง ต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า”
       
       “หลังจากนั้น 15-20 นาทีภามก็โท.รมา ผมก็ถามว่าเป็นยังไงบ้าง เขาก็บอกกลับกันไปหมดแล้ว ผู้ชายที่มาเคาะห้องเป็นแฟนของคนที่อยู่กับภาม ภามก็มาปรึกษาว่าเขารู้สึกว่าเขาไม่ปลอดภัย ผมย้ายโรงแรมดีกว่า ผมก็โอเค ผมก็ไปช่วยเขาย้ายของ เสร็จภามก็โทร.มาบอกว่ากำลังจะออกมาแล้ว แต่ระหว่างนี้มีรปภ.มาบอกว่าให้ออกประตูหลังที่เป็นประตูที่เขาไม่ค่อยใช้กันดีกว่า เดี๋ยวพวกที่มีเรื่องกันอยู่มาดักรอจะมีปัญหา ก็บอกภามว่างั้นผมออกรถก่อนแล้วกัน 10 นาทีต่อมา ผมอยู่ชลบุรีคิดว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ต่างคนต่างแยกย้าย ภามก็โทร.ทาว่าพี่เอผมโดนไล่ล่า ผมโดนรถตาม มันเบียดผมจะให้ตกถนน ผมก็บอกว่ามีสตินะแล้วขับเข้าไปสน.ไหนก็ได้”
       
       ทำใจโดนโยนขี้ใส่ ด้านภรรยาแนะให้พูดความจริง เรื่องจะได้ไม่บานปลาย ส่วนตนต้องออกมาพูดเพื่อให้ยืนอยู่ในสังคมได้
       “คือเราไม่รู้ว่าด้วยความอาฆาตแค้นหรือเราไม่รู้ว่าฝ่ายหญิงเขาไปบอกฝ่ายชายยังไงเพื่อเอาตัวเองรอด จะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องจากที่เราเคยดูข่าวมา ผมก็บอกภามตั้งสตินะ ไปสถานีตำรวจ อีกสัก 5-10 นาทีต่อมา ภามโทร.มาบอกว่าพี่เอผมโดนแล้ว เราก็โดนอะไรว่ะ คือมันเลี้ยวผิด เลี้ยวเข้าตลาดสด คือเลี้ยวเข้าตลาดสดนี่จบเลยนะเพราะมันเป็นทางตัน ภามบอกพี่เอผมตายแน่ช่วยผมด้วย ภามเขาอยู่คนเดียว ผมไม่เห็นเหตุการณ์ด้วยน้ำเสียงก็คิดว่าน่าจะมีผู้ชายหลายคนอยู่ตรงนั้นกับเขา ผมเลยเปิดจีพีเอสไปโรงพักเพื่อช่วยเขา เจอตำรวจก็บอกว่าพี่น้องผมมีเรื่องอยู่ตลาดใหม่ ยังไงรบกวนตามให้ผมด้วยด่วน ตัวผมตามไปก่อนแล้ว ไปถึงก็เจอ เฮ้ย...มาแล้วๆ ผมก็พูดกับน้องเขาดีๆว่าเคลียร์กันได้ไหม เขาก็บอกว่าไม่เคลียร์ ผมก็บอกว่างั้นเราไปคุยที่สถานีตำรวจ ถามว่าอายคนไหมก็อายคน เขาก็แสดงใหญ่ ตรงนี้ผมเข้าใจผู้หญิงนะมันคิดได้สองอย่าง คือถ้าแฟนเขาไม่มาเคาะมันจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ด้วยความที่ต้องโปรเท็กต์ตัวเอง ก็เลยโยนขี้ให้ทางฝั่งผม เลยเป็นข่าวอย่างที่เห็น เราก็ไปสถานีตำรวจที่เกิดเหตุทำบันทึกประจำวัน สอบสวนกัน แล้วอยู่ๆ ก็มีนักข่าวมาจากไหนก็ไม่รู้มาถ่ายรูป เสร็จปุ๊บตำรวจก็โยนกุญแจรถมาให้ เราก็งงๆ จะไม่คุยอะไรเลยหรอ เขาก็บอกว่าเขายังไม่รู้จะตั้งข้อกล่าวหาให้เราว่ายังไงเพราะเรื่องมันไม่มีอะไร ผมเลยให้ถ่ายสำเนาบัตรประชาชนแล้วก็ให้เบอร์ผมไว้”
       
       “ทางตำรวจเขาก็ให้ไปตรวจร่างกาย กว่าเปเปอร์อะไรจะมาก็ใช้เวลา 20-30 วัน ว่าจริงหรือไม่แล้วค่อยมาว่ากัน จะมีการสั่งฟ้องหรือเปล่า ตัวผมไม่มีปัญหาก็ให้ทนายจัดการไป ระยะเวลาที่อยู่กับน้องเขาของผมก็ประมาณ 5 นาที ไม่เกิน 10 นาที สำหรับที่ผมรู้สึกคือผู้หญิงเขาทำแบบนี้เพราะแฟนเขาเข้ามาโดยที่ไม่รู้ตัวว่าแฟนเขาทำแบบนี้อยู่ กลัวจะมีเรื่องกับแฟน ก็ต้องโยนอะไรที่ไม่ดีมาให้ทางผม ผมพูดไปมันไม่ดีอีก ถ้าผมเห็นแก่ตัวอีกนิดเดียวผมปิดโทรศัพท์แล้วหนีกลับกรุงเทพได้เลยนะ แต่เราก็ไม่รู้ว่าฝั่งนั้นเขาจะมีปืนมีอะไรหรือเปล่า ถ้าเขาโดนยิงตายมันจะเป็นตราบาปกับเราไปตลอดชีวิตเลยนะ ผมรู้อยู่แล้วว่าการที่กลับมาช่วยภามผมจะต้องเจออะไรบ้าง ผมรู้หมด แต่มันก็ต้องกลับมาอ่ะ ผมรู้ตัวว่าบ้านผมต้องบึ้มแน่นอน แต่ภรรยาผมก็ให้กำลังใจผมว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถ้ามันเป็นความจริงพี่เอก็ต้องพูดความจริง ถ้าพูดไม่หมดหรืออ้ำๆ อึ้งๆ มันทำให้คนคิดต่อได้ ก็ให้ความจริงทั้งหมดออกมาจากปากโดยตรง สามารถเอาคำพูดของผมไปดำเนินการได้หมด ตอนนี้ติดต่อภามไม่ได้เลย (จะฟ้องไหม) ใจผม ผมอยากจะเล่าทั้งหมดเลยนะว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่ผมกลัวว่ามันจะเสียรูปคดี"
       
       ทนาย : “ณ ปัจจุบันคุณเอกับคุณภามยังไม่ได้ตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐานก่อนว่าที่ผู้เสียหายมาร้องเรียนมีมูลความจริงขนาดไหน”
       
       เอ : “ก่อนหน้านี้คนก็ฟังจากด้านนั้นด้านเดียว เราเข้าใจน้องเขาเป็นนักศึกษาผู้หญิง เราไม่อยากจะไปพาดพิงเขา แต่ถ้าไม่พาดพิงหรือกล่าวถึงมันก็ไม่ได้ มันจะทำให้ผมดูแย่มาก แต่ผมก็ต้องออกมายืนยันเรื่องจริงทั้งหมด ที่น้องเขาพูดตามสัมภาษณ์มันก็จริงนะแต่น้องเขาพูดไม่หมด อะไรที่เขาทำแล้วเขาดูไม่ดี เขาก็ไม่พูด เรื่องผลกระทบมันก็มีอยู่แล้ว แต่กล้าทำก็ต้องกล้ารับผมเคลียร์เองได้ แต่ตรงนี้มันเป็นปัญหาสังคม ออกไปแล้วเป็นอย่างที่โดนกล่าวหาผมจะยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้”
       
       นอกจากนี้ “บอย สิทธิชัย ผาบชมพู” ในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัท อนันตชัยฟิล์ม จำกัด ได้ออกมาแถลงชี้แจงพร้อม “เชาวลิต เชื้อบางยาง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ถุงเงิน เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด และ “ขนมจีน กุลมาศ ลิมปวุฒิวรานนท์” นางเอกหนังเศียรสยอง โดยขอแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยการปลดผู้กำกับฉาวออกจากโปรเจ็กต์ดังกล่าว ด้านขนมจีนถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ วอนให้ยุติข่าวลือว่าตนได้เล่นหนังเรื่องดังกล่าวเพราะเอาตัวเข้าแลก
       
       บอย : “สำหรับกรณีข่าวที่เกิดขึ้น ทางค่ายที่ทำหนังเศียรสยองมีเรื่องจะชี้แจงครับ”
       
       ชวลิต : “กรณีผู้เสียหายแจ้งความหนึ่งในทีมงานภาพยนตร์ฯ จนเป็นข่าวออกมา ขอยืนยันว่าเป็นการร่วมทุนระหว่างอนันตชัยฟิล์มและถุงเงินเอ็นเตอร์เทนเมนต์เท่านั้น ซึ่งผู้ถูกฟ้องเป็นเพียงหนึ่งในทีมงาน และหนังปิดกล้องแล้ว อีกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัว จึงขอแสดงความรับผิดชอบด้วยการปลดคุณภามออกจากโปรเจ็กต์นี้”
       
       บอย : “ซึ่งพี่ภามจะไม่ได้ร่วมงานกับทางค่ายอีกต่อไป ซึ่งในตอนแรกที่เชิญพี่ภามมาเพราะชอบการกำกับภาพของเขา แต่พอเกิดเรื่องดังกล่าวก็เลยตัดสินใจปลดเพราะมันเกิดผลกระทบตามมา ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของค่าย และมันเป็นเรื่องของตัวบุคคล ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับหนังเลย”
       
       ชวลิต : “ทางคุณภามเป็นเพียงผู้รับจ้างเข้ามา ถามว่ารู้มาก่อนไหมเป็นเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งคุณภามก็ได้ชี้แจง โดยทางค่ายส่งทนายเข้าไปช่วยเท่าที่จะช่วยได้เพราะเคยร่วมงานกันเลยช่วยเหลือกัน แต่คดีจะเป็นยังไงต่อไปก็ต้องปล่อยเป็นเรื่องของทางกฎหมาย
       
       ขนมจีนปล่อยโฮ โดนกล่าวหาเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้เล่นหนัง
       ขนมจีน : “(ร้องไห้) ร่วมงานกับพี่ภามก็ปกติไม่มีอะไรหนักใจ เราทุ่มเทมากๆ พอเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้เรารู้สึกว่าต้องมีกำลังใจ อย่าทำให้เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ได้รับการยอมรับ อยากให้แยกแยะ”
       
       ชวลิต : “ตอนนี้ภาพยนตร์กำลังตัดต่อ พอเกิดเรื่องเรื่องดังกล่าวทำให้กระทบมาก เลยอยากชี้แจง”
       
       ขนมจีน :คือมีกระแสข่าวว่านักแสดงในเรื่องได้มาเล่นหนังเรื่องนี้เพราะผ่านเรื่องแบบนั้นมาหรือเปล่า ซึ่งทำให้รู้สึกเสียใจ (ร้องไห้) ขอร้องให้ยุติเรื่องกล่าวหาโดยที่ไม่เป็นความจริงค่ะ"
       
       บอย : “ถ้าหากยังไม่หยุดกล่าวหาก็จะเดินเรื่องฟ้อง และบริษัทอนันตชัยฟิล์มเป็นบริษัทของผมคนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับพี่ภาม”
       
       บอยรับห่วงขนมจีน เพราะทุ่มเทเต็มที่ ด้านขนมจีนยันไม่ท้อ แต่ขอโอกาส
       บอย : “ก็ยังผลิตหนังต่อไป เรายังศรัทธาในการทำงาน เรามีนักแสดงและทีมงานมืออาชีพ ก็เป็นห่วงขนมจีน เพราะการถ่ายทำหนังก็เจ็บจริง ทุกคนเต็มที่กับมันจริงๆ ซึ่งขนมจีนเก่งมาก”
       
       ขนมจีน : “ไม่ได้ท้อนะคะ แค่อยากให้โอกาสมากกว่าเพราะเราทุกคนตั้งใจทำงาน ขนมจีนว่าต้องให้ทุกคนมาเห็นด้วยตาตัวเอง”
       
       บอย : “อยากให้ได้ชมก่อนตัดสินว่าหนังเป็นยังไง”
       
       ชวลิต : “จริงๆ เรามีการนัดเซ็นสัญญากับบริษัทที่จะรับซื้อหนังไปฉายต่างประเทศเมื่อวันก่อน พอเกิดเรื่องขึ้นทำให้ผู้ซื้อหนังชะลอการซื้อไป”
       
       ยันไม่สร้างเรื่องปั่นกระแสหนัง อยากให้ชมผลงานก่อนตัดสิน
       บอย : “ไม่น่าครับ เพราะนักแสดงและผู้กำกับที่ถูกกล่าวหาก็มีชื่อเสียง”
       
       ชวลิต : “ก็ได้คุยกับทั้งคู่แล้วครับ ส่วนเรื่องฟ้องร้องเนื่องจากคดียังอยู่ในช่วงเป็นข่าว ผู้เสียหายยังไม่มีการชี้แจง ก็อยากให้ฟังจากผู้ถูกกล่าวหาครับ”
       
       บอย : “อยากให้ทุกคนได้รับชมหนัง อย่าเพิ่งตัดสิน อยากให้ชมก่อนว่าเป็นไง เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลครับ” 

 

http://www.manager.co.th

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X