|
หากคุณเป็นสาวยุคใหม่ การศึกษาสูง และมองว่า การเป็นแม่ของลูกเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับชีวิต (ในตอนนี้) เป็นไปได้ว่า คุณกำลังเป็นส่วนหนึ่งของเทรนด์ผู้หญิงยุคใหม่ที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้แล้วอย่างสมบูรณ์
โดยนักวิจัยจากซีกโลกตะวันตก อ้างว่า เทรนด์ดังกล่าวเกิดขึ้นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของคนในยุคเบบี้บูม ซึ่งเด็กผู้หญิงที่เกิดในยุคนั้นได้รับการศึกษา และมีโอกาสเข้าทำงานในองค์กรต่างๆ อีกทั้งยังมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานพอสมควรเลยทีเดียว (และที่สำคัญ ในยุคนี้ ยาคุมกำเนิดก็เริ่มแพร่หลายแล้วด้วยเช่นกัน)
จากการสำรวจของมหาวิทยาลัยโอไฮโอ พบว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาหญิงในสหรัฐอเมริกา ในยุค 1990 นั้น เลือกที่จะไม่มีบุตร และอาจกล่าวได้ว่า ยุค 1990 เป็นช่วงที่แนวคิดดังกล่าวขยายวงกว้างอย่างมากที่สุด ก่อนจะตกลงมาเล็กน้อยในช่วงปี 1998-2008 เหลือเพียง 25 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่ภาพของแม่ที่สาวๆ ยุคเบบี้บูมรู้จักคือคนที่แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อแต่งงานแล้วก็เป็นแม่บ้าน ทำอาหาร ทำงานบ้าน และเลี้ยงดูลูกๆ นั่นจึงอาจกล่าวได้ว่า เป็นการปฏิเสธที่จะเจริญรอยตามพ่อแม่ของตนเองที่เห็นได้ชัดที่สุดอีกภาพหนึ่ง
อีกเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงให้ความสำคัญกับการมีครอบครัวน้อยลงก็คือ วิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้ามากขึ้น การปรึกษาแพทย์เพื่อการมีบุตรในตอนที่อายุมากกลายเป็นสิ่งที่สามารถจ่ายได้ ดังนั้น พวกเธอจึงไม่กลัวที่จะแต่งงาน และมีลูกเมื่อตอนอายุมากเหมือนในอดีต
หลักฐานที่สนับสนุนข้อความด้านบนนี้ คือ เปอร์เซ็นต์การให้กำเนิดทารกแฝดสอง หรือแฝดสามเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มผู้หญิงที่มีการศึกษาสูง เพราะนั่นคือ หลักฐานที่บอกว่า พวกเธอเข้ารับการผสมเทียมเพื่อให้มีบุตรได้นั่นเอง
อีกปัจจัยต่อมา ก็คือ สภาพเศรษฐกิจ เมื่อผู้หญิงที่มีการศึกษาสูงเจอกับปัญหาทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอน พวกเธอจะวางแผนมีลูกให้ช้าลง เพื่อให้ตนเองมีความพร้อมที่จะดูแลลูกที่จะเกิดมามากที่สุดเท่าที่จะทำได้
นอกจากนั้น การสำรวจครั้งนี้ยังพบด้วยว่า ในกลุ่มผู้หญิงที่มีการศึกษาต่ำนั้นจะมีบุตรเร็วกว่าที่ควรจะเป็นด้วย
รายงานดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร Population Economics
เรียบเรียงจากเดลิเมล
ที่มา http://www.manager.co.th/