เรื่องเก่าเล่าใหม่ในแบบ “ละครญี่ปุ่นภาคต่อ”
2014-11-30 15:28:16
Advertisement
คลิก!!!

 

เคยไหมคะ เวลาที่ดูละครที่สนุกมากๆ จนไม่อยากให้เรื่องนั้นจบลงเลยจริงๆ อยากจะดูต่อไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ทำให้ละครญี่ปุ่นเองก็มีวิธีที่จะทำให้ละครในดวงใจของใครหลายคนอยู่คู่กับคนดูไปนานๆ เหมือนกันค่ะ 

วิธีที่ว่าก็คือ “การทำละครภาคต่อ”  ถ้าใครติดตามละครญี่ปุ่นมา จะสังเกตเห็นได้ว่าญี่ปุ่นมีละครภาคต่อเยอะมาก และเขาว่ากันว่าเรื่องไหนมีภาคต่อออกมา รับประกันความสนุกได้เลย! 

ถ้ามองในมุมมองของวงการละครญี่ปุ่น ละครภาคต่อถือว่าเป็นสิ่งที่มีความโดดเด่นเลยทีเดียวค่ะ มีหลายเรื่องมาก ที่ทำเป็นละครภาคต่อ ถ้าเทียบของบ้านเรา ก็ออกแนวอารมณ์ “ละครรีเมค” เรื่องไหนสนุก คนดูชอบ ก็จะเอามาทำใหม่ แต่ถ้าเป็นทางฝั่งญี่ปุ่นนี่ จะเป็นในรูปแบบละครภาคต่อมากกว่ารีเมคค่ะ ซึ่งการทำละครภาคต่อก็จะมีลักษณะเฉพาะ ดังนี้ค่ะ

1. เรตติ้งดี ต้องมีภาคต่อ

ข้อนี้ดูจะเป็นปัจจัยหลักสำหรับละครในช่วง Prime Time ค่ะ ถ้าเรื่องไหนเรตติ้งดี ได้รับความนิยมมาก มีแนวโน้มสูงที่จะจัดทำภาคต่อไป เพื่อเรียกเรตติ้งความนิยมกลับมาอีกครั้ง ถ้าทำละครเรื่องหนึ่งออกมาดีดี ขอบอกเลยว่า หากินได้ยาวเลยค่ะ

2. เนื้อเรื่องยาว จนต้องขอต่อ

ละครญี่ปุ่นบางเรื่องจะสร้างมาจากนวนิยาย และมังงะค่ะ ซึ่งเนื้อเรื่องจะมีความยาวมาก โดยเฉพาะมังงะที่มีหลายสิบเล่ม แต่โดยปกติแล้ว ละครญี่ปุ่นจะมีแค่ 8-12 ตอนเท่านั้น พอนำมาทำเป็นละคร ก็ต้องเขียนบทที่สั้นและกระชับมาก แต่บางทีมันก็ทำให้จบภายในเรื่องเดียวไม่ได้ค่ะ อย่างเรื่อง “Liar Game” อย่างนี้ หลายเกม หลายด่านมากค่ะ ถ้ารวบเป็นเรื่องเดียวนี่ คงพลาดตอนสำคัญไปเยอะเลย เราก็เลยเห็นละครเรื่องนี้ออกมาหลายภาคมากๆ ทั้งละครภาคต่อ ภาคพิเศษ และภาคภาพยนตร์

3. ตั้งใจทำต่ออยู่แล้ว

บางเรื่องก็ไม่ได้เป็นเพราะเรตติ้งดีเวอร์ หรือเรื่องยาวไป แต่เป็นเพราะความตั้งใจที่จะทำต่ออยู่แล้วค่ะ ซึ่งละครที่สร้างภาคต่อด้วยเหตุผลนี้ มักจะจบแบบไม่เคลียร์เอามากๆ (ส่วนมากก็จะจบแบบไม่เคลียร์แทบทุกเรื่อง) พอคนดูเห็นแล้วก็จะรู้ทันทีว่าต้องมีภาคต่ออย่างแน่นอน 
 



เช่น เรื่อง “First Class” เรตติ้งก็ไม่ได้สูงมากค่ะ แต่คาดว่าน่าจะเป็นความตั้งใจที่อยากจะสร้างภาคต่อ ส่วนตอนจบของภาคแรก ดูก็รู้เลยว่าต้องมีต่ออย่างแน่นอน

4. ละครภาคต่อ ภาค Special และภาค Movie!

ละครภาคต่อของญี่ปุ่นก็จะมีทั้งแบบละครสั้นๆ ตอนเดียวจบเป็นภาค Special (Tenpatsu) หรืออาจจะต่อแบบเป็นละครยาวเป็นอีก Season หนึ่งไปเลยก็มี บางเรื่องก็จะต่อด้วยภาค Special ก่อน แล้วตามด้วยภาคต่อแบบเรื่องยาวๆ ค่ะ อีกรูปแบบหนึ่งก็คือ ทำออกมาทั้งเป็นภาค Special ภาคต่อแบบเรื่องยาวเป็น Season และปิดท้ายด้วยภาค Movie!

5. มีเสริมเรื่องราวใหม่ที่น่าสนใจ

ละครภาคต่อจะเป็นการเล่าต่อจากเรื่องราวของภาคที่แล้ว (ที่จบไปแบบงงๆ ) บางทีก็จะมีพล็อตเดิมๆ ที่ละครทิ้งไปไม่ได้ เพื่อคงความเป็นละครเรื่องนั้นไว้ ด้วยเหตุนี้อาจทำให้ละครอาจจะวนเล่าเรื่องเดิมได้  เพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อ จึงจำเป็นต้องแทรกเรื่องราวใหม่ๆ เข้าไปบ้าง บางเรื่องก็จะผูกพล็อตใหม่เพิ่มเติม ดึงตัวละครตัวใหม่เข้ามาเพิ่มสีสัน




ทนายโลกสวยคู่อริทนายโลกจริง


อย่างเช่นเรื่อง “Legal High ภาค2” ที่เพิ่มตัวละคร “ฮันนิว เซนเซย์” เข้ามา เป็นคู่อริให้กับ “โคมิคาโดะ เซนเซย์” ให้คนดูคอยลุ้นว่า หมอนี่จะมาโค่นทนายที่ไม่เคยแพ้ได้หรือไม่ พร้อมกับคดีความใหม่ๆ ที่มาดึงความสนใจตลอดเรื่อง

6. มักจะไม่เปลี่ยนตัวแสดง

นักแสดงหลักๆ ของเรื่องนั้นๆ จะไม่ค่อยเปลี่ยนคนค่ะ เพราะว่าตัวละครหลักเหมือนเป็นเสาหลักของเรื่อง เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เรื่องดำเนินต่อไปได้  ตัวละครก็ต้องเป็นคนเดิม อย่างเรื่อง “HERO” แม้ผ่านไปหลายปี ทาคุยะก็คงรับบทแสดงนำ





 หรือ “Liar Game” “อากิยาม่าคุง” หรือ “โชตะ มัตสึดะ” ก็ยังคงอยู่กับคนดูทุกภาค แม้ในภาค Reborn นางเอกของเรื่องจะหายไปและมีการเปลี่ยนตัวก็ตาม แต่ว่า...ล่าสุด ได้ข่าวมาว่า เรื่อง “Hanzawa Naoki” ภาค2 จะมีการเปลี่ยนนักแสดงนำ ก็ต้องรอลุ้นกันค่ะว่า จะจริงเท็จแค่นั้น และถ้าจริง เรื่องจะออกมาเป็นอย่างไรกัน
สุดยอดละครภาคต่อที่ยาวเป็นหางว่าว

หลังจากเล่าลักษณะของละครภาคต่อของญี่ปุ่นแล้ว มาดูตัวอย่างละครญี่ปุ่นชื่อดัง ที่มีภาคต่อยาวเป็นหางว่าวกันบ้างค่ะ

1. Liar Game : เรื่องราวเกี่ยวกับเกมหนึ่งที่ต้องใช้ไหวพริบ ทริคด้านจิตวิทยา มีกฎเหล็กที่อนุญาตให้ “โกหก” ได้ โดยไม่มีความผิดใดใด ผู้ที่ชนะจะได้เงินรางวัลมหาศาล แต่ผู้พ่ายแพ้ต้องติดหนี้ท่วมหัวใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด เรื่องนี้มีทั้งหมด 8 ภาค ได้แก่





ภาคพิเศษที่หาดูได้ยาก 2 ภาค (เป็นตอนที่เล่าภูมิหลังของตัวละคร)
- Liar Game Zero
- Liar Game X

ภาคละครอีก 4 ภาค
- Liar Game Season 1
- Liar Game Season 2
- Yokoya VS Fukunaga
- Alice in Liar Game

ภาค Movie 2 ภาค
- Liar Game Final Stage
- Liar Game Reborn




และดูเหมือนว่าจะยังไม่ยอมจบง่ายๆ ด้วย


2. Keizoku2 Spec (เฉพาะที่เอริกะ โทดะแสดงนำ) แนวสืบสวนสอบสวน การต่อกรกันระหว่างคนธรรมดากับเหล่าคนที่มี SPEC หรือผู้ที่มีพลังพิเศษเหนือมนุษย์ทั่วไป ที่ใช้พลังนั้นมาก่อเหตุอาชญากรรม ด้วยทริคในการก่อคดี และวิธีการไขปริศนาที่หักมุม ทำให้มีละครเรื่องนี้ทำออกมาหลายภาคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตอนนี้มี 6 ภาค ด้วยกัน ได้แก่





ภาคละคร
- SPEC ~ First Blood 
- SPEC: Shou 
- SPEC Zero SP | SPEC~Rei~

ภาค Movie
- SPEC: Heaven | Gekijyohan SPEC ~Ten 
- SPEC: Close~Incarnation | SPEC~Ketsu~Zen no hen 
- SPEC: Close~Reincarnation | SPEC~Ketsu~Kou no hen 

3. Team Dragon





ซีรีส์แนวหมอๆ ที่มีมาแล้ว 4 ภาค เนื้อเรื่องก็จะเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างทีมแพทย์มากฝีมือ ที่มีอุดมการณ์อยากช่วยเหลือคนไข้ให้รอดชีวิต กับพวกแพทย์ที่มีอำนาจหวังจะกอบโกยกำไรจากการเป็นแพทย์ พล็อตหลักๆ ก็จะยังคงเป็นไปเช่นเดิมทั้ง 4 ภาค จะมีเคสยากๆ มาให้หมออาซาดะโชว์เมพ ก่อนผ่าตัดหมออาซาดะก็ยังคงขึ้นไปรำไทเก๊กบนดาดฟ้าตามเดิม หรือเรื่องที่แสดงให้เห็นถึง “การทำงานเป็นทีม” พร้อมกับการต่อสู้ระหว่างคนมีอำนาจ กับคนไร้อำนาจแต่มีฝีมืออย่าง Team Dragon แต่ทั้ง 4 ภาค ตัวละครก็จะมีปรับเปลี่ยนไปบ้าง มีทั้งคนใหม่มา คนเก่าหายไป แต่ตัวละครหลักยังอยู่คงเดิมค่ะ

4. Dr.X





ซีรีส์หมออีกเรื่องที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เรื่องราวของหมอศัลยแพทย์อิสระมากฝีมือ ที่มาพร้อมกับวลีเด็ดที่ว่า “ฉันไม่เคยพลาด” ตอนนี้ก็มีมาถึง 3 ภาคแล้วด้วยกัน เนื้อเรื่องก็ยังคงตามสเต็ปเดิม ที่จะมีเคสยากๆ มาให้หมอมิจิโกะ หรือ Dr.X เป็นคนแก้ไข และมักจะสำเร็จตามคอนเซ็ปต์ที่เป็น “คนไม่เคยพลาด” มีผู้จัดการส่วนตัวมาเก็บค่าผ่าตัดที่สูงลิ่วกับของฝากเมลอน พร้อมกับท่าทีของหมอมิจิโกะที่ต่อต้านกับองค์กร แต่ภาค 3 ก็มีสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเหมือนกัน ที่เห็นชัดๆ เลยก็คือ ตัวละครใหม่ๆ ที่เข้ามามีบทบาท รวมถึงดึงตัวละครเก่าเข้ามาร่วมแจมอีกด้วย

5. Aibou 





ละครแนวสืบสวนสอบสวน เรตติ้งดี ที่ฉายมาแล้ว 13 ภาคด้วยกันจนถึงปัจจุบัน ! มีนักแสดงมือเก๋าอย่าง  Mizutani Yutaka มารับทนำ ด้วยการแสดงที่ดีตีบทแตก พล็อตเรื่องที่ไม่ซ้ำซาก จำเจเท่าไร บวกกับตอนจบที่ถือได้ว่าหักมุม ทำให้ละครเรื่องนี้ถูกทำมาทำหลายภาค และได้รับเรตติ้งดีมาเรื่อยๆ ไม่ต่ำกว่า 15% ซึ่งเป็นเรตติ้งในระดับที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว  





ส่วนในด้านภาพยนตร์ก็มีเช่นกันค่ะ เช่น “Otoko wa Tsurai yo” ที่มีจำนวนภาคยาวถึง 49 ภาค! (รวมภาค Special ด้วย) โดยผ่านฝีมือการกำกับจากผู้กำกับคนเดียวกัน !  ใครสนใจอยากจะตามไปดูจนครบก็ไม่ว่ากันค่ะ

ละครภาคต่อที่เล่ามานี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียค่ะ ข้อดีก็คือ

1. ได้ดูละครเรื่องเดิมที่ชอบอีกครั้ง ในแบบที่มีพล็อต และเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่เสริมเข้ามา และนี่คือความสนุกของละครภาคต่อที่ไม่เหมือนละครรีเมคค่ะ ละครรีเมคคนดูจะสนุกกับสิ่งที่เคยรู้สึกสนุกมาแล้วในแบบที่ทันสมัยกว่าเดิม แต่ละครภาคต่อคือการนำเรื่องเก่ามาต่อยอดใหม่ค่ะ ถึงแม้จะเป็นเรื่องเก่า แต่มีเรื่องราวใหม่ๆ ที่เรายังไม่รู้มารอให้เราติดตามชมกันต่อ

2. ผู้จัดไม่ต้องไปยืดเรื่องเรียกเรตติ้งที่อาจทำให้เรื่องมีความเยิ่นเย้อจนไม่น่าติดตาม ถ้าอยากให้ยาว จัดเต็มในภาคต่อไปเลยดีกว่า!

3. เจ็บน้อย เรียกเรตติ้งได้ดีค่ะ ถ้าภาคแรกประสบความสำเร็จ ได้รับความนิยมสูงล่ะก็ ภาคต่อไปรับรองได้ว่าอย่างน้อยก็มีคนติดตามค่ะ ทำออกมาไม่ต้องหวั่นเรื่องเรตติ้ง มีฐานคนดูเก่ารองรับไว้อยู่แล้ว

ส่วนข้อเสียก็มีเหมือนกันค่ะ คือ

1. อาจเพิ่มความยุ่งยากสำหรับคนเขียนบท และผู้จัดละครที่ต้องคิดพล็อต คิดบทเพิ่มเติม บางทีก็ต้องหาความแปลกใหม่เข้ามาในเรื่อง

2. แม้จะเป็นละครภาคต่อ ที่เล่าเรื่องราวต่อไปจากเดิม มีการเพิ่มเรื่องราวใหม่ๆ เข้ามา แต่ละครภาคต่อที่ว่าก็ยังคงเป็นเรื่องเดิมที่เคยทำมา ปัญหาของละครภาคต่อก็คือ ถ้าทำยาวมากไป ก็อาจจะสร้างความเบื่อได้เช่นกันค่ะ 

สำหรับละครญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ร่วง 2014 นี้ก็มีละครภาคต่อด้วยเช่นกัน เช่น First Class ภาค2, Dr.X ภาค3 และตามมาติดๆ กับละครยอดฮิตอย่าง Legal High ภาค Special ค่ะ

ละครภาคต่อก็เป็นการทำละครอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าติดตามค่ะ ใครสนใจจะดูละครญี่ปุ่นล่ะก็ ต้องเจอกับละครภาคต่อแน่นอน ละครภาคต่อถือเป็นการดำเนินเรื่องราวจากภาคก่อนๆ ที่จบไม่เคลียร์ให้เราได้เข้าใจมากขึ้น และอย่างน้อยก็ทำให้ละครที่เราเคยรัก เคยชอบ ได้กลับมาอยู่กับเราอีกครั้งหนึ่งค่ะ


เรื่องโดย : ChaMaNow www.marumura.com

 

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X