THE PURGE : ANARCHY คืนอำมหิต : คืนล่าฆ่าไม่ผิด
2014-10-04 12:29:52
Advertisement
คลิก!!!

หนังเด่น
กฤษดา


เมื่อครั้งที่ได้ดู The Purge ยอมรับว่าเป็นหนังที่มีแนวคิดโดดเด่นถึงระดับ "แรง" หรือ "แรงมาก"

โดย แนวคิดที่หนังนำเสนอก็คือการสร้างเรื่องราวให้เกิดขึ้นในยุคที่ทางการประกาศ ให้ใน 1 ปี มี 1 วัน เป็นช่วงเวลาแห่งการปลดปล่อยชำระบาป โดยการฆาตกรรมและอาชญากรรมที่มีขึ้นในวันนั้นไม่ถือว่าผิดกฎหมาย

กล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ได้ว่าใน 1 วันนั้น การฆ่า การปล้น การทำร้าย การทำลายสิ่งของ การบุกรุก เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้

เมื่อ เสียงสัญญาณดังในตอนค่ำ หมาย ความว่า อยากฆ่าใครสักคน หรือหลายคนย่อมทำได้ โดยไม่ผิดกฎหมาย และทำได้ไปจนถึงเสียงสัญญาณเตือนให้ยุติในตอนเช้า

The Purge เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวหนึ่ง ซึ่งวางแผนเก็บตัวอยู่ในบ้านที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยแน่นหนา เพื่อให้ผ่านพ้นวันนั้นไปได้ แต่ปัญหาก็คือ ลูกชายไปเปิดรับชายผิวดำให้เข้ามาหลบซ่อนในบ้าน โดยมีกลุ่มผู้ต้องการปลดปล่อยพร้อมอาวุธครบมือตามมาขอตัวชายคนนั้น

เมื่อมาถึง The Purge : Anarchy เรื่องราวถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น กินบริเวณกว้างขึ้นและดุเดือดรุนแรงขึ้น

จาก ที่เรื่องราวเกิดขึ้นเฉพาะภายในบ้าน (และบริเวณหน้าบ้าน) และใช้อาวุธอย่างปืนสั้น ปืนยาวและดาบ เปลี่ยนมาเป็นใหญ่โตกว่าเดิมทุกอย่าง

เรื่อง ราวใน The Purge : Anarchy เกิดขึ้นบนท้องถนน โดยตัวละครจำเป็นต้องเดินจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ท่ามกลางการออกมาปลดปล่อยของเหล่านักล่า ผู้มีทั้งดาบ ปืนกลมือ และปืนกลหนัก

แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างน่าสนใจและน่าวิเคราะห์ ไม่ใช่ความแตกต่างในทางระดับความรุนแรง รูปแบบการใช้อาวุธ และการขยายพื้นที่ของเหตุการณ์ หากแต่เป็นประเด็นทางชนชั้น

แม้ ว่าใน The Purge ก็มีการเสนอให้เห็นประเด็นนี้ โดยแสดงให้เห็นว่า คนร่ำรวยหลบอยู่ในที่ปลอดภัยส่วนเหยื่อมักเป็นชนชั้นล่าง แต่ใน The Purge : Anarchy บรรยายให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

โดยการสร้างเรื่องให้ มีคนร่ำรวยจำนวนหนึ่งอยากปลดปล่อย คืออยากลิ้มรสการฆ่าคน แต่ไม่อยากออกไปตามท้องถนน ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกล่า จึงต้องจ้างวานให้ไปจับเหยื่อมา แล้วล่าในที่ซึ่งจัดไว้ให้ โดยต้องจ่ายเงินเพื่อการนี้

นอกจากนั้น ยังเพิ่มเติมประเด็นที่ว่าทางการเกรงว่าพลเมืองฆ่ากันไม่มากพอ อย่างที่รัฐต้องการ เลยเข้ามาร่วมลงมือเพื่อให้คนตายมากขึ้น พลเมืองจะได้ลดจำนวนลง

หนังได้ตอกย้ำว่า ไม่ว่าจะอยู่ในยุคนี้ หรือยุคหน้า ชนชั้นสูง กับรัฐ ยังคงเป็นผู้กดขี่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง

เมื่อ มองในแง่แนวคิด อาจมองได้ว่าหนังมีแนวคิดหนักหน่วงรุนแรงกว่าเดิม ในแง่ความรุนแรงของการกระทำก็ดูดุเดือดกว่า แต่ในแง่ความบันเทิง ผมว่าไม่ได้เพิ่มมากขึ้น

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็นการเล่า เรื่องต่อจากที่ทำไปแล้ว อีกส่วนอาจจะเป็นเพราะการมีตัวละครเอกที่ดูเข้มแข็ง และมีทักษะทางการต่อสู้ จนเชื่อว่าเขาน่าจะเอาตัวรอดได้ ไม่เหมือนกับ The Purge ที่ตัวละครทุกคนในบ้านดูอ่อนแอและเปราะบางกว่ามาก

หนังยังคงมีความตื่นเต้นระทึกใจ และทำให้ต้องติดตามตลอด เพียงแต่ไม่ถึงขนาด "สุดขีด"

แต่ สิ่งสำคัญที่สุด ไม่ใช่ความบันเทิง หากแต่เป็นการทำให้เกิดคำถามให้คนดูคิด 2 ข้อ หนึ่ง เห็นด้วยกับการชำระบาปหรือไม่ และ สอง ถ้ามีแบบนี้จริงๆ จะหลบอยู่ในบ้าน หรือออกไปล่าข้างนอก


ที่มา  ข่าวสดออนไลน์

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X