เจ้าพ่อนิยาย Mash-Up "เซ็ธ แกรห์ม-สมิธ": ยำใหญ่ใส่สีประวัติประธานาธิบดี "ลิงคอล์น"
2012-06-22 22:57:58
Advertisement
คลิก!!!

"เซ็ธ แกรห์ม-สมิธ" เป็นคนดังในฮอลลีวูดเพียงช่วงเวลาไม่กี่ปี หนุ่มวัย 30 เศษที่เคยผ่านการเขียนบทซีรีส์เล็ก ๆ ไม่ได้โด่งดังอะไรนักเมื่อ 10 ปีก่อน ได้เป็นคนเขียนบทหนังให้กับผู้กำกับดัง "ทิม เบอร์ตัน" ส่วนหนังสือขายดีของเขาได้ถูกดัดแปลงเป็นหนังฟอร์มดีที่มีกำหนดเข้าฉายในปีนี้ เป็นความโด่งดังที่เกิดขึ้นด้วยงานเขียนประเภทที่เรียกว่า "Mash-Up" กับการหยิบเอานิยายคลาสสิก หรือชีวประวัติคนดังมายำใหญ่ใส่สี

“ผมเคยเรียนเขียนนิยายจริงจังหรือเปล่าน่ะเหรอ” เซ็ธ แกรห์ม-สมิธ ย้ำคำถาม ขยับแว่นหนึ่งครั้งแล้วยิ้ม เขามองไปทางคนกลุ่มใหญ่ที่มารวมตัวกันในงานแจกลายเซ็นของเขาที่ร้านหนังสือบอร์เดอร์ในแอลเอแห่งนี้แล้วตอบ “ถ้าคุณได้อ่านหนังสือของผมล่ะก็ มันจะชัดเลยว่าคำตอบคือ ไม่เคย”

หากเรามองข้ามความถล่มตนของเขาไป เราจะเห็นได้ว่านักเขียนอายุ 34 ปีผู้นี้คงพอรู้อะไรๆ เกี่ยวกับการเขียนนิยายให้ประสบความสำเร็จอยู่บ้างแหละ เพราะอย่างไรเสียเขาก็ประสบความสำเร็จมากจริง

เมื่อปีที่แล้วนี่เองที่นิยายของแกรห์ม-สมิธเรื่อง Pride and Prejudice and Zombies วางแผง และในตอนนั้นทุกคนต่างก็กังขา แต่นิยาย Mash-Up ที่แปลงจากวรรณกรรมคลาสสิคของเจน ออสเทนที่บอกเล่าเรื่องราวการจับดาบขึ้นต่อสู้กับซอมบี้ของเอลิซาเบธ เบนเนตก็กลายเป็นนิยายขายดีอันดับสามของ New York Times ในทันที ด้วยยอดขายมากกว่าหนึ่งล้านเล่ม และเพราะความดังระดับนั้น ต่อมามีคนหันมาเขียนนิยายแนว Mash-Up เหมือนเขาตามออกมาอีกเป็นโหลๆ

มาถึงตอนนี้ บริษัทผลิตภาพยนตร์ของนักแสดงสาว นาตาลี พอร์ตแมน ก็ได้ซื้อลิขสิทธิ์ของหนังสือเล่มนี้ไปแล้ว โดยนางเอกสาวคนดังจะเล่นเป็นเอลิซาเบธ เบนเนตเอง และเมื่อเดือนที่แล้วนี่เองที่ Abraham Lincoln Vampire Hunter นิยายเล่มต่อมาของแกรห์ม-สมิธ ก็ขึ้นถึงอันดับสี่ของหนังสือขายดี และกำลังจะทำออกมาเป็นหนังเหมือนกัน โดยมีโปรดิวเซอร์เป็นถึงระดับ ทิม เบอร์ตัน(หนังกำลังจะเข้าฉายในปีนี้แล้ว)

แต่กระนั้น แกรห์ม-สมิธก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดีว่าเขาเป็นนักเขียนสุดเทพ หลังจากเขาแจกลายเซ็น จับมือ และถ่ายรูปกับเหล่าแฟนหนังสือที่มาในงานเสร็จแล้ว เราจึงได้มีโอกาสนั่งลงพูดคุยกับเขาซะที

“ผมใช้เวลาหลายปีพยายามจะเป็นนักเขียนเจ๋งๆ ให้ได้” แกรห์ม-สมิธ ชายหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลแดงตัดสั้นกล่าว “แต่ผมได้แต่เขียนเรื่องห่วยๆ ออกมาเรื่องแล้วเรื่องเล่าเป็นสิบปี แม้ว่าแต่ละครั้งที่ผมเขียนมันจะห่วยน้อยลงเรื่อยๆ แต่ยังไงผมก็มีเรื่องสั้น บทภาพยนตร์ และนิยายที่ห่วยบรมและไม่ได้รับการตีพิมพ์สะสมอยู่เป็นกระตั้กนั่นแหละ...และพวกมันสมควรตรงไปอยู่ในห้องสมุดแห่งวรรณกรรมห่วยโคตร”

แต่ทุกอย่างนั่นก็เปลี่ยนไปเมื่อแกรห์ม-สมิธ ค้นพบแนวทางของตนเอง นั่นคือ แนว Mash-Up จริงๆ แล้วต้นกำเนิดของคำว่า Mash-Up นี้มาจากคำเรียกขานแนวทางดนตรีที่เป็นที่นิยมกันในช่วงสิบปีที่ผ่านมา นั่นคือแนวดนตรีที่นำเพลงสองเพลงสองแนวที่ไม่น่าจะมาอยู่ด้วยกันได้มารีมิกซ์เข้าด้วยกันจนเกิดเป็นเพลงแนวทางใหม่ มันจึงถูกนำมาใช้เรียกแนวนิยายของแกรห์ม-สมิธ

“แนว Mash-Up มันอยู่ในหัวผมมา 2-3 ปีก่อนหน้านี้แล้วล่ะครับ” แกรห์ม-สมิธพูด “แล้วพอถึงตอนนี้ มันก็เริ่มโหลแล้ว มีนิยายแนวนี้เต็มไปหมดบนชั้นหนังสือตอนนี้”

ก่อนที่แกรห์ม-สมิธจะเข้ามาคลุกกับนิยายแนว Mash-Up เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้นิยายที่ไม่เพียงประหลาดและออกแนวป็อปเท่านั้น แต่ยังฉลาดล้ำอีกต่างหากของเขาให้ได้รับการตีพิมพ์

ก่อนที่เขาจะเขียน Pride and Prejudice and Zombies เขาเขียนหนังสือที่ไม่ใช่นิยายไว้เพียบ อย่างเช่น The Big Book of Porn, The Spiderman Handbook, How to Survive A Horror Movie และ Pardon My President ซึ่งเป็นหนังสือรวมจดหมายขอโทษที่มีต่อประชาชนและองค์กรต่างๆ ซึ่งเขาเขียนขึ้นในนามของประธานาธิบดีจอร์จ บุช

ช่วงก่อนหน้าที่ Pride and Prejudice and Zombies จะดัง การเขียนเป็นเพียงงานอดิเรกเท่านั้น งานหลักของเขาคือ เป็นคนเขียนบทและทีมผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ แต่ก็ไม่แปลกที่ เซ็ธ แกรห์ม-สมิธ (ซึ่งเป็นนามปากกา ชื่อจริงๆ ของเขาคือ เซ็ธ กรีนเบิร์ก) ผู้เกิดและเติบโตในคอนเนคติกัต 60 ไมล์ทางตอนเหนือของนิวยอร์คจะอยากเป็นนักเขียนนิยายขนาดนั้น ถ้าดูจากว่าพ่อบุญธรรมของเขาเป็นนักสะสมนิยายไซไฟตัวยง มีร้านขายหนังสือของตัวเองที่มีห้องใต้ดินเก็บนิยายสยองขวัญและไซไฟไว้มากกว่า 5,000 เรื่อง และแม่ของเขาก็ยังเป็นบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ Marshall Cavendish อีกต่างหาก

“ก็นั่นแหละครับ ผมเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับตัวหนังสือ และความรู้ในการเขียนของผมก็มาจากการอ่านทั้งนั้น ซึ่งผมว่าการอ่านมันเป็นแหล่งความรู้ที่ดีที่สุดเลยนะ อ่าน แล้วก็เขียนตามอย่างนักเขียนที่ผมยกย่อง”

หลังจากย้ายมาอยู่ลอส แองเจลิส แกรห์ม-สมิธก็ได้เขียนงานที่ไม่ใช่นิยายหลายชิ้นกับสำนักพิมพ์เล็กๆ อย่างQuirk โดยได้บรรณาธิการ เจสัน เรคูแลค คอยดูแล และเมื่อเรคูแลคปิ๊งไอเดียนิยาย Mash-Up ระหว่างวรรณกรรมของเจน ออสเทนกับฝูงซอมบี้ขึ้นมา เขาก็นึกถึงแกรห์ม-สมิธเป็นคนแรก

แนวคิดที่เรคูแลคบอกแกรห์ม-สมิธมีเพียงว่าไม่อยากให้ชื่อหนังสือยาวเกินห้าคำ แต่มันทำเอาเขาคลั่งสุดๆ แกรห์ม-สมิธวางโทรศัพท์แล้วเริ่มลงมือวางโครงเรื่องทันที “โทรศัพท์สายนั้นเปลี่ยนชีวิตผม”

ในขณะที่นักวิจารณ์ต่างถล่มงานของเขาว่าเป็นเพียงงานล้อเลียนเล่นๆ ตลกๆ แต่สำหรับคนที่ได้อ่านแล้วจะสัมผัสได้ว่ามันไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้นเลย แค่ย่อหน้าแรกของหนังสือที่ว่า “เป็นความจริงที่ยอมรับกันทั่วสากลโลกว่าเมื่อซอมบี้ได้กินสมองแล้วย่อมต้องการสมองมากขึ้นอีก ไม่มีเวลาใดที่ความจริงนี้จะเด่นชัดยิ่งไปกว่าการโจมตีครั้งล่าสุดที่เนเธอร์ฟิลด์พาร์ค สมาชิกครอบครัวทั้งหมดสิบแปดคนถูกสังหารและเขมือบเรียบโดยฝูงคนตายเดินดิน”

การล้อเลียนที่พิถีพิถันขนาดนี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่าเขาเคารพและตอบแทนต้นฉบับด้วยงานที่ยกระดับนิยายพัลพ์ (Pulp Fiction นิยายที่พิมพ์ในกระดาษห่วย ขายถูก ถ้าเทียบกับบ้านเราก็คงจะเทียบได้กับนิยายผีเล่มละบาท) ขึ้นไปอีกระดับ “ไม่เคยมีครั้งไหนที่วรรณกรรมคลาสสิกจะดีขึ้นไปอีกขั้นด้วยการเพิ่มซอมบี้ลงไปอย่างนี้” คือคำยกย่องจากนิตยสาร Times

แกรห์ม-สมิธบอกว่าความสำเร็จนี้เกิดจาก “ปากต่อปากครับ” หลังจากปกซึ่งเป็นภาพวาดจากฝีมือของนักวาด วิลเลียม บีเชย์ ออนไลน์บนอินเทอเน็ต กระแสตอบรับก็มาทันที

“กระแสก็ประมาณว่า ‘คุณพระคุณเจ้า เล่นกันอย่างงี้เลยเหรอ’ ยังไม่ทันอ่าน พวกเขาก็ชอบมันแล้ว” แต่แกรห์ม-สมิธก็ออกตัวว่าเขาไม่ได้เป็นคนคิดค้นแนว Mash-Up นี้ เขาเพียงแค่เขียนมันออกมา “ถูกจังหวะเวลา” เท่านั้น

แต่สิ่งที่เป็นเซอร์ไพรส์ที่สุดก็คือกระแสตอบรับจากแฟนหนังสือดั้งเดิมของเจน ออสเทน “ตอนแรก ผมเดาเอาไว้ว่าผมคงจะถูกพวกเขาจับตัวไปมัดกับเสาแล้วเผาทั้งเป็น เพราะแม้แต่ผมเองยังรู้สึกเลยว่ามันออกจะเกินไปหน่อยที่เอาวรรณกรรมระดับนี้มาเล่น แต่ผลปรากฏว่าแฟนวรรณกรรมของเจน ออสเทน ชอบมันแหะ”

“พวกเขาหลายต่อหลายคนบอกผมว่ามันเป็นวิธีการที่ดีที่จะทำให้คนหันมาอ่านวรรณกรรมของเจน ออสเทนมากขึ้น” ครูและศาสตราจารย์หลายท่านบอกว่าพวกเขาใช้นิยายของแกรห์ม-สมิธเป็นตัวล่อให้นักเรียนของเขาอ่านงานของเจน ออสเทน

หลังจากนั้นแกรห์ม-สมิธก็เซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์ Grand Central แล้วออกนิยายเรื่องต่อมา Abraham Lincoln Vampire Hunter

ก็อย่างที่ชื่อบอก นิยายเรื่องนี้คือเรื่องราวการผจญภัยของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการยกเลิกการค้าทาส นำทัพในสงครามกลางเมือง และปกป้องประเทศจากภัยอันใหญ่หลวงที่สุด นั่นคือเหล่าแวมไพร์ที่กำลังจะครองชาติอย่างลับๆ

ไอเดียเกี่ยวกับเรื่องราวของนักการเมืองหม่นๆ กับขวานคู่ใจที่เอาไว้บั่นคอแวมไพร์ให้เลือดกระจายนี้เกิดขึ้นตอนที่แกรห์ม-สมิธอยู่ในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง

“มีร้านหนังสือร้านนึงอยู่ใกล้ๆ บ้านผม ผมไปที่นั่นบ่อยๆ ไปดูว่ามีหนังสืออะไรออกใหม่บ้าง ช่วงนี้คนชอบอ่านอะไร และประมาณเมื่อ 18 เดือนก่อน ช่วงใกล้จะถึงวันครบรอบวันเกิดปีที่ 200 ของลิงคอล์น ในร้านมีแต่หนังสือเกี่ยวกับลิงคอล์นเต็มไปหมดเลย

“แล้วก็พอดีในช่วงนั้นไอ้นิยาย Twilight ก็กำลังฮิตมาก ในร้านหนังสือก็เลยมีหนังสือ Twilight วางอยู่คู่กับหนังสือลิงคอล์นแทบทุกชั้น ลิงคอล์น แวมไพร์ ลิงคอล์น แวมไพร์ ลิงคอล์น แวมไพร์...” แล้วเขาก็จับเอามารวมกันซะเลย

หลังจากเขียน Pride and Prejudice and Zombies เสร็จ เขาก็เริ่มอ่านประวัติของเอบราฮัม ลิงคอล์น ทันที เพื่อดูว่าจะใส่เรื่องราวของแวมไพร์ลงไปได้หรือไม่ “ตอนแรก ผมก็เหมือนคนเกือบทั้งประเทศนี้แหละครับ รู้จักลิงคอล์แค่ คนใส่หมวก ตัวสูง มีเครา

“แต่พอผมได้ค้นคว้าเรื่องราวของเขามากขึ้น อ่านจดหมายที่เขาเขียน อ่านสุนทรพจน์ของเขา วิกิพีเดียเขาดู ผมก็หลงรักเขาหมดใจ เขาคือบุรุษผู้โศกาที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จักมา

“มีเมฆหมอกแห่งความทุกข์ปกคลุมอยู่รอบตัวเขาตลอดเวลา เกือบจะตั้งแต่เขาเกิดนั่นเลย และเขาก็ไม่เคยหนีมันพ้นจนกระทั่งเขาตาย เขาต้องฝังศพน้องของตัวเอง แม่ของตัวเอง คนรักคนแรกของตัวเอง น้องสาวของตัวเอง แม้แต่ลูกชายของตัวเองทั้งสองคน เขาไม่มีเงิน ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีการศึกษา ไม่มีที่ทางแห่งหน ทั้งหมดที่เขามีก็แค่จิตใจและจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งเท่านั้น เขาล้มครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ลุกขึ้นมาและเดินหน้าต่อไป”

นั่นทำให้แกรห์ม-สมิธมองลิงคอล์นเป็นเหมือนซูเปอร์ฮีโร่คนหนึ่ง “จริงๆ ไม่ต้องใส่แวมไพร์ลงไป ชีวิตของเขาก็เป็นอะไรที่เหลือเชื่ออยู่แล้ว แต่ถ้าเพิ่มแวมไพร์ลงไป มันก็น่าจะเจ๋งขึ้น”

ว่าแล้วแกรห์ม-สมิธ ผู้ที่ถูกตั้งความหวังไว้สูงมากหลังความสำเร็จจาก Pride and Prejudice and Zombies ก็เริ่มเขียนโครงร่างนิยายเอบราฮัม ลิงคอล์นขึ้นมา 50 หน้า รวมปูมหลังของตัวละครต่างๆ ลงไปด้วย

“ผมไม่คิดว่า Pride and Prejudice and Zombies จะดังขนาดนั้น” เขาพูด และตอนนี้มันทำให้ทั้งสำนักพิมพ์และผู้เขียนหวังในตัวเขาไว้สูง “ผู้คนตั้งคำถามกันครับว่า ‘คราวนี้มันจะเล่นอะไรอีก’ แต่ผมรอดตาย เพราะผมมีเรื่องลิงคอล์นนี่”

หลังจากเขียนไปเรื่อยๆ เขาก็รู้สึกราวกับว่าเขาถูกชะตากำหนดให้ต้องเขียนนิยาย Mash-Up เกี่ยวกับลิงคอล์นนี้ เพราะนอกจากเขาจะเป็นแฟนตัวยงของนิยายสยองขวัญแล้ว เขายังชอบอ่านหนังสือชีวประวัติและหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อีกด้วย โดยเฉพาะหนังสือของนักเขียนรางวัลพูริตเซอร์ ดอริส เคิร์นส์ กูดวิน เรื่อง Team Of Rivals: The Political Genius of Abraham Lincoln

ในขณะที่ดวงในทางการเป็นนักเขียนกำลังรุ่ง แต่แกรห์ม-สมิธก็ไม่ทิ้งงานหลัก ซึ่งคือเป็นหนึ่งในทีมเขียนบทและโปรดิวเซอร์ให้กับหนังซีรี่ย์เรื่องใหม่ของช่อง MTV ที่ชื่อ The Hard Times of RJ Berger ด้วย โดยแกรห์ม-สมิธบอกว่าซีรี่ย์ The Hard Times of RJ Berger จะเหมือนการนำซีรี่ย์ Wonder Years มาทำให้เป็นเวอร์ชั่นที่หยาบโลนและทันสมัยขึ้น

นั่นหมายความว่ากว่า 4 เดือนของปีที่แล้ว ในตอนกลางวันแกรห์ม-สมิธจะขับรถไปที่ออฟฟิศแล้วพยายามคิดมุกตลกลามกให้หยาบกว่าเพื่อนร่วมงาน ส่วนตอนกลางคืนเขาจะเดินทางท่องไปในหน้าประวัติศาสตร์อเมริกาเพื่อเขียนนิยายลิงคอล์น

“ช่วงนั้นผมจะดูเหมือนคนโรคจิตหน่อยๆ” เขากล่าว

และก็เหมือนกับที่นิยายเล่มแรกของเขาทำกับแฟนหนังสือเจน ออสเทน แฟนหนังสือลิงคอล์นมากกว่า 500 คนเดินทางไปชมพิพิธภัณฑ์ The Lincoln Presidential Museum ที่สปริงฟิลด์ อิลลินอยส์ เมืองเกิดของยอดประธานาธิบดีผู้ปลดปล่อยทาสคนนี้

“หลังจากนั้นพิพิธภัณฑ์อิลลินอยส์ก็เชิญผมเข้าไปในห้องนิรภัยปรับอุณหภูมิ ให้ผมใส่ถุงมือ แล้วให้ผมได้มีโอกาสถือสคริปต์สุนทรพจน์เกตตี้สเบิร์กของแท้ด้วย

“และองค์กรอย่างสมิธโซเนียลก็เชิญผมไปพูด พวกเขาคงคิดได้ว่างานของผมทำให้คนสนใจประวัติศาสตร์มากขึ้น เหมือนบอกว่า ‘เฮ้ย อ่านนิยายของผมซะ เพราะถ้าตัดส่วนที่เป็นแวมไพร์ออกไป คุณก็คือผู้รู้จริงเรื่องลิงคอล์นดีๆ นี่เอง”

บทสัมภาษณ์พิเศษ เซ็ธ แกรห์ม-สมิธ ผู้เขียน Pride and Prejudice and Zombies ใน The Telegraph โดย เอลิกซ์ ชาห์คีย์ แปลและเรียบเรียงโดย วีระวัฒน์ เตชะกิจจาทร

http://www.manager.co.th

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X