“แตงโม” เคืองสักชื่อ “โตโน่” ที่ตัวแล้วโดนสื่อฉบับหนึ่งพาดหัว “โคตรเว่อร์” บอกใช้คำไม่เหมาะสมตนเป็นห่วงเยาวชน พร้อมตัดพ้อคนอื่นไม่เห็นโดนมีแต่ตนที่โดนอยู่คนเดียว ฟุ้งตอนนี้มีแฟนคลับ “โตโน่-แตงโม” แล้ว พร้อมโอดน้อยใจเวลาตนทำความดีไม่เห็นมีใครพูดถึง
       
       ทำเอา “แตงโม ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์” ปรี๊ดไม่น้อย กรณีเจ้าตัวไปสักรูปนกกับชื่อจริงของแฟนหนุ่ม “โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์” ที่เอวแล้วโพสต์ลงอินสตาแกรมจนมีเสียงวิจารณ์ออกมาทั้งชื่นชมในความรักของทั้งคู่ที่มีต่อกันและโจมตีว่าเว่อร์จัด แถมยังโดนกระทืบซ้ำ เพราะมีนิตยสารบันเทิงฉบับหนึ่งเขียนพาดหัวโดยใช้คำว่า “โคตรเว่อร์ รักฝังร่าง แตงโม สักชื่อ โตโน่” งานนี้ทำเอาแตงโมรับไม่ได้ออกมาตอบโต้กลับผ่านอินสตาแกรมของตนเอง จนกลายเป็นประเด็นขึ้นมาอีก
       
       ล่าสุดเจ้าตัวมีคิวไปร่วมงานอีเวนต์แถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าแบรนด์ LILY (ลิลลี่) จากประเทศเซี่ยงไฮ้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ก็เลยจะให้เคลียร์ประเด็นดังกล่าว แต่ยังไม่ทันจะได้ชี้แจงประเด็นแรกก็งานเข้าอีก เพราะแตงโมดันมางานนี้ไม่ทัน กำหนดการเริ่มตอน 13.00 น. แต่เจ้าตัวมาเอาตอนงานเลิกจนถูกมองขาดความรับผิดชอบ สอบถามไปแตงโมก็แย้งว่าผิดพลาดที่การประสานงานไม่ใช่ตน
       
       “รับนัดไว้ตอนบ่าย 2 โมง ค่ะ มาทัน 2 โมงพอดี โมไม่แน่ใจว่าประสานงานกันยังไงแต่เรารับงานจากผู้จัดการอีกทีค่ะ โมไม่ได้มาเดินแบบเขาอาจจะนัดคนละเวลาค่ะ โมมาร่วมงานค่ะ” 
       
       ส่วนกรณีโพสต์ติงสื่อพาดหัวข่าวไม่สุภาพใช้คำว่า “โคตรเว่อร์” กับข่าวตนนั้นเป็นเพราะตนเป็นห่วงเยาวชน
       “ต้องลองอ่านดูค่ะ ส่วนตัวคิดว่าหนังสือที่ไม่ได้จำกัดอายุคนซื้อ บางทีก็ล่อแหลมต่อเยาวชน ส่วนตัวก็ไม่ต้องการคำตอบอะไร เราก็บอกว่ามันไม่เหมาะสม (ช่วงนี้เราเซ้นท์สิทีฟง่ายกว่าปกติรึเปล่า?) การเป็นห่วงเยาวชนไม่ใช่เรื่องเซนสิทีฟ ลองเปรียบเทียบกับคนอื่น ไม่เห็นใช้คำอย่างนั้นกับคนอื่นบ้างเลย ทำไมเป็นโม ต้องโดนคำหยาบคายหรือคำแรงๆ ตลอด คุณพ่อคุณแม่โมยังมีชีวิตอยู่ เขียนอะไรก็ให้เกียรติบ้าง เขาก็ต้องมานั่งอ่าน โมกับหนังสือ ก็ไม่มีปัญหากัน ทำไมโมต้องโดนพาดหัวด้วยคำหยาบคาย เด็กอ่านมันไม่ดี” 
       
       ปัดทำไปเพราะสร้างกระแสให้ตัวเอง ยันวิธีการนี้ไม่เคยอยู่ในหัว
       “หนูอยู่มา 10 ปีแล้ว อยู่เฉยๆ กระแสก็มา ไม่รู้จะสร้างกระแสไปเพื่ออะไร 10 ปีแล้ว การสร้างกระแสไม่เคยอยู่ในหัวหนูเลย หนูไม่เคยเดินทางด้วยการหาเงินจากกระแสตัวเอง”
       
       ปฏิเสธจะเอา “น้องต้องตา” น้องสาว “โตโน่” มาเป็นผู้จัดการส่วนตัว
       “พูดเล่นค่ะ วันนั้นที่โพสต์ เพราะเขาว่างพอดี เลยมาเป็นเพื่อนกัน เขาเพิ่งมาจากขอนแก่น ก็พาน้องมาทำงาน มาเล่นด้วย เพราะวันนั้นผู้จัดการโมก็ติดงาน โพสต์แหย่กันเล่นๆ เฉยๆ น้องอายุยังน้อยและยังเรียนหนังสืออยู่ที่ขอนแก่นค่ะ น้องอายค่ะว่าทำไมคนเยอะจังเลย”
       
       หวานต่อเนื่องล่าสุดเพิ่งควง “โตโน่” ไปเที่ยวพัทยากระชับรัก
       “ก็ดีค่ะ เป็นการเที่ยวพัทยาแบบจริงจังครั้งแรก เที่ยวทะเล ถึงจะมืดแล้ว ก็โอเคค่ะ แฮปปี้ดี ได้เจอญาติๆ เยอะมากค่ะ เป็นญาติทางแฟนคุณพ่อค่ะ พอดีว่าแฟนคุณพ่อเป็นคนพัทยา ไปเที่ยวเขาก็มาเจอมาทานข้าวด้วยค่ะ” 
       
       ฟุ้งตอนนี้มีแฟนคลับ “แตงโม-โตโน่” กลบกระแสแฟนๆ แอนตี
       “มันมีมาซักพักแล้วละ แต่คนไม่รู้ และพอผ่านมาก็มีเยอะขึ้น อาจจะด้วยเขาเห็นเราให้กำลังใจคนอื่น ไม่ใช่มานั่งท้อ เราก็พยายามทำดี กันต่อไป จูงมือกันเที่ยวไทย ทำบุญ ทำดีกันต่อไป ทำให้เป็นตัวอย่างที่ดี บางคนอาจจะเห็นเรื่องดีๆ ตรงนี้ของเราบ้าง (มันเป็นมุมของเราอยู่แล้วรึเปล่า หรือเพราะมาทำตอนคบโตโน่?) ใช่ และอาจจะเป็นเพราะพี่โน่รักเมืองไทย ชอบประวัติศาสตร์ และพ่อโมก็เป็นแบบนั้น เลยลงล็อค ต้องไปอยุธยาซินะ  คือโมไปไหนก็ได้ที่มีพ่อกับแฟนอยู่ด้วยกัน แฮปปี้มาก มันอบอุ่นดี พอมีพี่โน่เข้ามาก็ช่วยให้ครอบครัวอบอุ่นมาก พ่อโมก็อยากมีลูกชาย เขาดันมาเหมือนกันด้วย ก็เลยทำให้ครอบครัวโมโอเคขึ้น”
       
       พร้อมเผยถึงโปรเจกต์ ทำดีที่กำลังทำว่าเริ่มเป็นไอเดียของเพื่อน
       “อันนั้นเป็นโปรเจกต์ของเพื่อนชื่อ พี่นุ๊คกับอะตอม และพี่ๆ วงซีล เราอยากจะลงพื้นที่ แต่ไม่มีทุน ไม่มีรถ ก็เลยจัดกิจกรรมนี้ขึ้นมา ก็เปิดบัญชีให้คนบริจาค ยอดก็เยอะแล้ว แต่บังเอิญว่าที่เขาจะไปช่วยทริปแรกที่ปราจีน โมติดงาน ไปไม่ได้ อาจจะมีคนอื่น ลงพื้นที่ไปก่อน เราก็ตั้งใจ อยากจะมีส่วนร่วมด้วย”
       
       “ถามว่าเคยทำมั้ยก็เคยทำ กับช่อง 7 ดาราวีดิโอ ถ้าเราว่างก็จะไปทำด้วยตลอด แต่ไม่มีใครสนใจส่วนตรงนี้ของโมไง ก็รู้สึกน้อยใจบ้าง แต่ก็เข้าใจ ปิดทองหลังพระไป โครงการนี้ พี่โน่ก็ไป เขาเต็มที่เลย ขาลุย ตั้งแต่คบกันมาเราก็ชวนกันทำเรื่องแบบนี้ตลอด อย่างบริจาคเลือดเราก็ทำมานานมากแล้ว เพราะโมเป็นเลือดพิเศษ O เนกาทีฟ มีแค่ 6 พันคน และ บริจาคแค่ 3 พันคนเอง”

http://www.manager.co.th