เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Instagram peem_parkin, เฟซบุ๊ก Starmax channel

ภีม ภาคิน เผยแม่ร้องไห้หลัง เจค ศตวรรษ ให้สัมภาษณ์แรง เกาะลูกกิน บอกขอตั้งหน้าตั้งหน้าหาเงินเลี้ยงดูแม่และน้อง ไม่คิดติดต่อ เจค ศตวรรษ

หลังจากที่กลายเป็นข่าวคึกโครมกันมาแล้ว สำหรับกรณีที่ ภีม ภาคิน บวรศิริลักษณ์ ลูกชายของ เจค ศตวรรษ ดุลยวิจิตร นักแสดงชื่อดัง ได้ออกมาแฉพ่อของตนเองผ่านรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ว่า พ่อไม่เคยยอมรับว่าเป็นลูก และไม่รับผิดชอบเลี้ยงดู ขณะที่ทางด้าน เจค ศตวรรษ ได้โต้ข่าวดังกล่าวว่า เขายอมรับมาตลอดว่า ภีม ภาคิน เป็นลูก และไม่สนใจว่าฝ่ายหญิงจะท้องกับใคร แต่ถูกฝ่ายหญิงกีดกัน พร้อมกับถามด้วยว่า ทำไมไม่รู้จักทำมาหากิน เกาะลูกกินตลอดเลยเหรอ และขอวอนสื่อไม่อยากให้รื้อฟื้นขุดคุ้ยอีกเพราะเกรงว่าจะกระทบครอบครัวใหม่

ทั้งนี้ ภายหลังจากการให้สัมภาษณ์ของ เจค ศตวรรษ ผู้สื่อข่าวจึงได้รุดไปสอบถามเรื่องดังกล่าวกับ ภีม ภาคิน อีกครั้ง เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2556 ซึ่งเจ้าตัว เปิดเผยด้วยน้ำตาคลอเบ้า ว่า หลังแม่ได้เห็นสัมภาษณ์ของพ่อก็เสียใจมากถึงกับโทรศัพท์มาร้องไห้กับตนที่กองละคร เพราะสงสารและเป็นห่วงตน กลัวจะไปสู้หน้าคนอื่นไม่ได้ เนื่องจากไม่คิดว่าพ่อจะพูดแบบนั้น ตนจึงขอหยุดเรื่องวุ่น ๆ ไว้เพียงเท่านี้ และขอตั้งหน้าตั้งหน้าหาเงินเลี้ยงดูแม่และน้องต่อไป ส่วนจะติดต่อกับพ่อไหมนั้น ตนก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อกับเขาทำไม แล้วตนก็ไม่ได้รอให้เขากลับมาด้วย

ด้าน เจค ศตวรรษ ได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า เรื่องที่ผ่านมาตนขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว แต่ยืนยันว่า ไม่เคยทอดทิ้งลูก ตนรอมาตลอดให้ลูกชายเรียกว่า "พ่อ" ก็อยากให้ฝั่ง แอน กัญญารัตน์ เปิดใจบ้าง ตนรอมาตลอด 20 ปี ถ้าได้ลูกชายกลับมาอีกคนตนก็ปลื้มใจ
 

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเมื่อวานนี้ (13 มิถุนายน) "เจค ศตวรรษ ดุลยวิจิตร" และภรรยาใหม่ น้องทราย ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการ "คนดังนั่งเคลียร์" ถึงเรื่องราวระหว่าง "ภีม ภาคิน บวรศิริลักษณ์ " และ "แอน กัญญารัตน์ บ่อสันเที๊ยะ" ในทุกประเด็นที่หลายคนอยากรู้

เมื่อพิธีกรถามว่า ทำไมถึงไม่ไปรายการ วู้ดดี้เกิดมาคุย ที่ทางรายการเชิญไปเปิดอกพูดคุยแบบพร้อมหน้าพร้อมตา 3 คน พ่อแม่ลูก เจค ศตวรรษ ตอบว่า ตอนนี้สังคมก็รู้ว่าพ่อคือผม ส่วนรายการนั้นตนก็มีจุดยืนของตน ตนไม่ต้องการเป็นจุดยืนในลักษณะที่เขาสร้าง เพราะการสร้างกระแสนั้น ถ้าประชาชนรู้ที่หลัง ตนอาจจะถูกประณามเยอะกว่านี้ก็ได้

"ตรงนั้นคือเขาพูดให้ผมฟังรายการนั้นนะ ผมไม่ไปครับ ไปไม่ได้ คือทุกวันนี้ผมอยู่ด้วยประชาชน ข้าว อาหารทุกมื้อผมก็ได้จากประชาชน ผมจะไปหลอกลวงประชาชนในลักษณะนั้นไม่ได้ หลอกลวงเพื่อที่จะให้ลูกไปเป็นเป้าในลักษณะการสร้างกระแส ผมอยากให้ลูกผมไต่เต้าด้วยฝีมือ แต่ผมก็ดีใจนะครับที่เขาช่วยกันที่จะสนับสนุนลูกผม เพียงแค่มันผิดวิธีที่ผมต้องการ" เจค ศตวรรษ กล่าว

ถ้าถามตนว่า ตนปฏิเสธอย่างไรที่ไม่ไปรายการดังกล่าว อย่างแรกเลยมีกำแพงของกฎหมาย ที่ทนายระบุว่าตนต้องอยู่ห่างลูก 50 เมตร ไม่อย่างนั้นจะมีความผิดโดนจับเข้าคุก เพราะตนเคยก่อคดีแย่งชิงลูกมาก่อน เลยเกิดปัญหานี้ขึ้น ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ 20 ปี ตนไม่เคยติดต่อลูกเลย เพราะกลัวเกิดปัญหา

หลายคนบอกว่าถ้าตนไปแล้วทุกอย่างจะจบ ตนมองว่าตนทำไปแล้วไม่มีความสุข ทุกอย่างมันเป็นการจัดฉาก เหมือนเล่นกลให้ทุกคนดู ตนรู้สึกไม่ดี ถ้าถามว่าตนโกรธทางรายการไหม ตนไม่โกรธ แต่เรื่องที่เกิดหลังจากนั้น ก็คือสายสัมพันธ์ระหว่างลูกกับพ่อแทนที่จะดีขึ้น แต่กลับห่างกันมากกว่าเดิม จากที่ห่างกันมาก ๆ อยู่แล้ว

เจค ศตวรรษ ยังเผยต่อว่า ความรักที่มีต่อ "แอน กัญญารัตน์" ก็ยังมีอยู่ ตอนที่เขาอุ้มลูกไป ตนเป็นบ้าเป็นหลัง ขับรถตามหาลูก 3 วัน 3 คืน ดื่มเหล้าไป 8 ขวด สุดท้ายไปเจอที่โคราช ตอนนั้นตนดื่มเหล้าจัดมาก เพราะไม่อยากเครียด เมาแล้วจะหลับไป ส่วนความรู้สึกที่มีต่อ "ภีม" ตลอดระยะเวลา 20 ปี ถึงร่างกายเราจะอยู่คนละที่ แต่จิตใจของพ่อก็ยังมีลูกเสมอ ไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหน อยู่ในสถานการณ์ไหน ตนคิดถึงแต่เรื่องลูกเพราะลูกคือดวงใจของตน...

"มันเป็นอะไรที่มากกว่าคำพูด ไม่ว่าลูกจะด่า จะว่าพ่อ จะเหยียบย่ำยังไง ถึงแม้ว่านักข่าวจะบอกว่าลูกสร้างกระแสเพื่อจะเหยียบพ่อขึ้นไป อันนั้นไม่โทษเขา ผมโทษตัวเอง โทษที่ดูแลลูกไม่ดี โทษที่ไม่มีเวลา โทษกำแพงที่กั้น ทำให้ผมไม่ได้อยู่กับลูกตลอดเวลา 20 ปี ลูกอยู่ในความฝันของผมอย่างเดียว ลูกทำอะไรผิด พ่อพร้อมยอมรับทุกอย่าง และก็อยากให้ลูกดูแลแม่ให้ดี เพราะแม่ไม่สบาย" เจค ศตวรรษ กล่าว

ขณะที่ น้องทราย ภรรยาคนปัจจุบัน เผยทั้งน้ำตาว่า ตนเครียดมาก แต่ถามว่าโกรธไหม ตนไม่โกรธ หลังจากนี้ตนจะเข้มแข็งให้มากกว่าเดิม ตนเป็นคนนอกวงการ ก็ยังไม่ชินต่อกระแสข่าวเท่าไร แต่จากนี้ไปจะพยายามเข้มแข็งขึ้น ด้าน เจค ศตวรรษ กล่าวเสริมว่า น้องทรายเป็นคนปลอบใจตนเสียมากกว่า ทั้ง ๆ ที่เขาก็เครียดเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ตนก็อยากจะขอบคุณพี่สาว และภรรยาผมคนนี้ ที่ทำให้ตนเป็นคนเต็มคน และเป็นคนที่ดีขึ้น