ออสการ์เชิดชูเกียรติ 4 ตำนานฮอลลีวูด
2012-12-03 21:03:11
Advertisement
คลิก!!!

ผู้คนในวงการบันเทิงฮอลลีวูดให้เกียรติมาร่วมงานออสการ์ค่ำคืนพิเศษ เพื่อมอบรางวัลเกียรติยศให้กับ 4 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฮอลลีวูด ทั้งที่มีส่วนต่อความยิ่งใหญ่ของวงการภาพยนตร์สหรัฐฯ และบุคลากรผู้อุทิศตนช่วยเหลือทำงานการกุศลอย่างทุ่มเท เมื่อวันเสาร์ที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา
       
       ทอม แฮงค์สควินซีย์ โจนส์คริสเตน สจ๊วร์ตสตีเวน สปีลเบิร์กวอร์เรน บีตตี้เควนติน ตารันติโนจอร์จ ลูคัสเคิร์ก ดักลาสและ เอมี อดัมส์ คือ ส่วนหนึ่งของคนบันเทิงที่มาร่วมให้เกียรติในงาน Governors Awards ของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ ที่มอบรางวัลออสการ์ยกย่องบุคลากรผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งงานของแต่ละคนล้วนมีส่วนต่อความยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมบันเทิงสหรัฐฯ ในงานซึ่งจัดขึ้นที่ เรย์ ดอลบี บอลรูม ใน ฮอลลีวูด แอนด์ ไฮห์แลนด์ เซนเตอร์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
       
       ก่อนหน้านี้ พิธีมอบรางวัลเกียรติยศของสถาบันฯ จะเป็นส่วนหนึ่งของงานออสการ์ประจำปี จนกระทั่งเมื่อ 4 ปีก่อน จึงมีการเปลี่ยนแปลงขั้นตอน ด้วยการจัดงานเลี้ยงพิเศษเพื่อมอบรางวัลเกียรติยศโดยเฉพาะในช่วงปลายปี เป็นงานที่ไม่ได้ถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ แต่จะมีการนำภาพบางส่วนไปฉายประกอบงานออสการ์งานหลักอีกทีหนึ่ง โดยความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีสาเหตุมาจากจุดประสงค์ของสถาบันฯ ที่ต้องการให้การถ่ายทอดสดออสการ์มีความกระชับขึ้น และเปิดโอกาสให้ผู้ได้รับรางวัลเกียรติยศแต่ละคนมีโอกาสได้กล่าวขอบคุณอย่างเต็มที่ โดยไม่ถูกคั่นจังหวะด้วยข้อจำกัดของการถ่ายทอดสด
       
       สำหรับรางวัลในปีนี้มีทั้งผู้กำกับสารคดีรุ่นใหญ่, คนทำหนังที่มีส่วนก่อตั้งสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน, สตันต์แมนระดับตำนานของวงการ และผู้อำนวยการสร้างผู้ทรงอิทธิพลของวงการภาพยนตร์ ที่ได้รับรางวัลเชิดชู
       
       


       
       “ดี.เอ.เพนเนเบเกอร์” ต้นแบบสารคดียุคใหม่ 
       
       ดี.เอ.เพนเนเบเกอร์ หรือ ดอนน์ อลัน เพนเนเบเกอร์ ผู้กำกับสารคดีวัย 87 ปี คือ บุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกการทำหนังสารคดียุคใหม่ กับการเล่าเรื่องทั้งเกี่ยวข้องกับศิลปะ และการเมือง ซึ่งเขาคือคนทำหนังอีกคนที่ได้รับการยกย่องในปีนี้
       
       ผลงานที่โดดเด่นของ เพนเนเบเกอร์ ก็เช่น Don't Look Back (1967) หนังสารคดีที่เสนอภาพการทัวร์คอนเสิร์ตในสหราชอาณาจักรของ บ๊อบ ดีเลน ที่ได้รับการยกย่องว่าสามารถนำเสนอทั้งเรื่องของ วัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ และสุนทรียศาสตร์ แห่งยุคสมัยดังกล่าวออกมาอย่างยอดเยี่ยม ส่วน The War Room (1993) สารคดีที่เล่าแผนการหาเสียงของอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน ก็ได้รับเสียงชมจากนักวิจารณ์อย่างเป็นเอกฉันท์
       
       ส.ว.อัล แฟรนเคน และ ไมเคิล มัวร์ ผู้กำกับสารคดีที่ดังที่สุดแห่งยุค เป็นผู้มากล่าวแนะนำ เพนเนเบเกอร์ โดย มัวร์ บอกว่าคนทำหนังสารคดีรุ่นพ่อคนนี้คือแรงบันดาลใจ และผู้ริเริ่มสารคดียุคใหม่อย่างแท้จริง
       
       หลังได้รับรางวัล เพนเนเบเกอร์ ได้กล่าวขอบคุณคนที่เคยร่วมงานกับเขามาในตลอดระยะเวลา 6 ทศวรรษของการทำงาน เช่นเดียวกับครอบครัวที่สนับสนุนเขาด้วยดีตลอดมา เป็นการขอบคุณที่ใช้เวลายาวเหยียดถึง 20 นาที จนเมื่อ วิล สมิธ ขึ้นเวทีมาในพิธีการลำดับต่อไปก็ยังกล่าวแซวไปว่า “ก่อนที่ผมจะเริ่มต้น ดี.เอ.เพนเนเบเกอร์ ยังเหลือคนที่เขาอยากจะขอบคุณอยู่อีกนิดหน่อยครับ”
       
       


       
       คนทำหนังผู้อนุรักษ์ภาพยนตร์
       
       นอกจาก เพนเนเบเกอร์ แล้ว ยังมี จอร์จ สตีเวน จูเนียร์ และ ฮัล นีดแฮม ที่ได้รับรางวัลสำหรับความยิ่งใหญ่ตลอดชีวิตการทำงาน ที่ถือว่ามีส่วนพัฒนาวงการภาพยนตร์สหรัฐฯ ให้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ถึงปัจจุบัน
       
       จอร์จ สตีเวน จูเนียร์ ลูกชายของผู้กำกับระดับตำนาน จอร์จ สตีเวน ที่ตามรอยบิดาเป็นคนทำหนังมาตั้งแต่หนุ่มแน่น มีผลงานทั้ง เขียนบท, กำกับ, อำนวยการสร้าง เคยได้รับรางวัลเอมมี 11 ครั้ง, รางวัลจากสมาคมนักเขียนบท 8 ครั้ง และผลงานที่เขาอำนวยการสร้างอย่าง The Thin Red Line ก็เคยถูกเสนอชื่อชิงออสการ์มาแล้ว
       
       อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ สตีเวน จูเนียร์ ได้รับรางวัลในคราวนี้ก็คือการมีส่วนร่วมในการก่อตั้งสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน องค์กรเอกชนที่ไม่หวังผลกำไร ที่มีภารกิจสืบสานความยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์สหรัฐฯ ทั้งการอนุรักษ์หนังที่เป็นสมบัติของชาติ และให้ความรู้คนทำหนังรุ่นใหม่ ให้รับทราบถึงความยิ่งใหญ่ของศิลปินรุ่นก่อน และงานของพวกเขา
       
       โดย ซิดนีย์ ปอยติแยร์ และ แอนเน็ต เบนนิ่ง เป็นผู้ออกมานำแนะ สตีเวน จูเนียร์ ด้วยการกล่าวถึงความทุ่มเทต่อการอนุรักษ์ และส่งเสริมศิลปะภาพยนตร์ ขณะที่หลังรับรางวัล สตีเวน จูเนียร์ วัย 70 ปี ได้เอ่ยปากขอบคุณบิดาผู้ยิ่งใหญ่อย่างผู้กำกับ จอร์จ สตีเวน ว่าเป็นคนที่ส่งเสริมให้เขาเข้าใจถึงความไร้ขีดจำกัดด้านห้วงเวลาของศิลปะภาพยนตร์ “ถือเป็นผู้เปิดประตูชีวิตอันสร้างสรรค์ให้กับผม”
       
       


       
       สตันต์แมนระดับตำนาน
       
       ในอีกช่วงของงาน เควนตัน ตารันติโน ได้ขึ้นเวทีมาเพื่อประกาศให้ ฮัล นีดแฮม เป็นอีกคนที่ได้รับรางวัลเกียรติยศในปีนี้ กับความสำเร็จในการ “ขยายของเขตของความเป็นไปได้สำหรับการถ่ายฉากแอ็กชั่น” พร้อมยอมรับต่อหน้าสตั้นแมนผู้ยิ่งใหญ่ว่า “ผมลอกเลียนแบบหลายฉากมาจากคุณ”
       
       ส่วน อัล รัดดี โปรดิวเซอร์เจ้าของรางวัลออสการ์จาก The Godfather ก็พูดถึง นีดแฮม ว่าเป็น “คนดีที่สุดคนหนึ่ง และเป็นเหมือนของขวัญสำหรับผู้อำนวยการสร้างทุกคน” รัดดี ยังเล่าถึงเบื้องหลังการถ่ายทำหนังปี 1982 Megaforce กับฉากระเบิดตูมตามที่แทบทำลายระบบเสียงใหม่ล่าสุดของโรงถ่ายให้หายไปกับเปลวเพลิง หรือเมื่อครั้งที่เขาถ่ายฉากขี่มอเตอร์ไซค์ จนเกิดอุบัติเหตุถึงขั้นสมองได้รับความกระเทือน แต่ นีดแฮม ก็ยังสามารถกลับมาทำงานในวันรุ่งขึ้นได้อีก
       
       ตัวของ นีดแฮม วัย 81 ปี ยอมรับว่าตัวเองคงเป็น “คนโชคดีที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่” โดยอดีตลูกชายของชาวนาในเมมฟิส เทนเนสซี เริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นสตั้นแมนให้กับแพท บูน ในหนัง Have Gun, Will Travel และยังมีโอกาสร่วมงานกับตำนานฮอลลีวูดมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บิลลี ไวเดอร์จิมมี สจ๊วร์ต หรือกระทั่ง จอห์น เวย์น
       
       “แม่คงมองผมอยู่ข้างบนนั้น พร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างๆ บนใบหน้าของท่าน” นีดแฮม กล่าวถึงมารดาผู้ล่วงลับ ก่อนจะขอบคุณ “ชาวฮอลลีวูดทุกคนที่ทำให้ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่”
       
       


       
       ผู้อำนวยการสร้างหัวใจใหญ่
       
       นอกจากบุคลากรระดับตำนานทั้ง 3 ที่ได้รับรางวัลในปีนี้แล้ว ยังมีผู้อำนวยการสร้างคนดัง เจฟฟรีย์ คัตเซนเบิร์ค ผู้ร่วมก่อตั้ง DreamWorks SKG และปัจจุบันนั่งตำแหน่งเก้าอี้ซีอีโอ DreamWorks Animation ที่ได้รับรางวัลในฐานะคนใจบุญ กับการบริจาคเงินก้อนโตให้กับการกุศล และยังมีส่วนเรี่ยไรเงินได้ถึง 230 ล้านเหรียญ ในฐานะประธานของ กองทุนภาพยนตร์ และโทรทัศน์ คนปัจจุบัน
       
       “เจฟฟรีย์ ไม่เคยมีปัญหาอะไรในการเอ่ยปากขอเงินจำนวนมหาศาอ วิล สมิธ ที่ทำหน้าที่แนะนำ คัตเซนเบิร์ค กล่าวติดตลกถึงการทำหน้าที่ตัวตั้งตัวตีในกิจกรรมการกุศลของ คัตเซนเบิร์ค
       
       ส่วนตัวของผู้อำนวยการสร้างคนดังก็กล่าวยกย่องกลับไปที่ สมิธ รวมถึงคนบันเทิงที่มีส่วนช่วยเหลือแบ่งปันรายได้ก้อนโตคืนให้กับสังคม ว่า “ส่วนใหญ่ ผมก็แค่ยกหูโทรศัพท์ และขอเงินคุณ ... เป็นพวกคุณต่างหากที่เป็นคนทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งมอบเวลา, พรสวรรค์, เงิน และหัวใจ นั่นคือสิ่งที่พวกคนทำทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ฮอลลีวูดทำ”

 

http://www.manager.co.th

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X