ไม่แปลกใจเลยเมื่อเวลาหลายคนนึกถึงไอดอล k-pop จะนึกถึงความสดใส, ความมีเสน่ห์ และความสามารถที่ไม่มีวันลืม รวมไปถึงการน่าเอาเป็นแบบอย่างเวลาพวกเขาอยู่บนเวที แต่หากใครเป็นแฟนคลับ k-pop มานานจะรู้ว่าไอดอลบางคนก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากกับสัญญาทาสของต้นสังกัด

สัญญาทาสหมายถึงสัญญาระยะยาวที่ไม่ยุติธรรมระหว่างตัวไอดอลเองกับบริษัทต้นสังกัด ตั้งแต่ SM ไปจนถึง YG เรื่องราวของไอดอลที่ต้องอยู่กับบริษัทและถูกบังคับให้ทำงานภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม ตอนนี้ SM Entertainment กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะการเปลี่ยนแปลงของผู้ลงทุนและ CEO แต่เป็นเพราะกรณีสัญญาทาสกับสมาชิกวง EXO อย่างแบคฮยอน, ซิ่วหมิน และเฉิน และยังมีไอดอลอีกหลายวงที่ประสบชะตากรรมเดียวกัน มาดูกันว่ามีใครบ้าง

STELLAR (Stella)

เกิร์ลกรุ๊ปยอดนิยมที่เดบิวท์เมื่อปี 2011 พวกเธอประสบความสำเร็จตั้งแต่เดบิวท์กับคอนเซ็ปต์น่ารัก ๆ ใน “Rocket Girl” ต้นสังกัดของพวกเธออย่าง The Entertainment Pascal จึงหลอกให้พวกเธอถ่าย mv ที่เสี่ยงอันตรายและถ่ายรูปยั่ว ๆ โดยอ้างว่าเป็นการทดสอบชุดเฉย ๆ ไม่ใช่ทำเพื่อออกอัลบั้มปล่อยสู่ท้องตลาด

แต่ในการแสดง “Marionette” และ “Vibrato” พวกเธอต้องโชว์เรือนร่างค่อนข้างมากจนกลายเป็นประเด็นทางโลกโวเชี่ยลในตอนนั้น สมาชิกวงอย่างกายองได้ให้สัมภาษณ์กับ Insight ถึงประสบการณ์ที่เจ็บปวดและสัญญาทาส

B.A.P.

ในปี 2014 วง B.A.P. ได้ยื่นฟ้องต้นสังกัดเพื่อ “อิสภาพจากสัญญาทาส” โดยสมาชิกทั้ง 6 คนได้แก่บังยงกุก, คิมฮิมชาน, จองแดฮยอน, ยูยองแจ, มุนจงออบ และเชลโล่ได้ยื่นเอกสารทางกฎหมายต่อ Seoul Western District Court เพ่อยกเลิกสัญญาพิเศษกับ TS Entertainment ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2011

พวกเขาประสบปัญหาเรื่องรายได้และการขอเอกสารเรื่องค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ต้นสังกัดยังขอร้องให้พวกเขาเซ็นสัญญาใหม่เพื่อยืดเวลาออกไปภายใต้การควบคุมของต้นสังกัดเมื่อพวกเขาป่วยหรือพักรักษาตัว ดูเหมือนว่าสัญญาจะเป็นประโยชน์ต่อค่ายเพราะจากสัญญา 7 ปีจะมีผลหลังจากวันที่พวกเขาเดบิวท์อย่างเป็นทางการเท่านั้น ไม่ใช่ตอนที่พวกเขาเซ็นสัญญากับ TS Entertainment เป็นครั้งแรก

TVXQ

ย้อนกลับไปในปี 2009 ที่กระแสเกาหลีกำลังโด่งดังไปทั่ว TVXQ ได้เปิดโปงต้นสังกัดกับสัญญาระยะเวลา 13 ปี ซึ่งเกือบ 2 เท่าของสัญญาปกติในปัจจุบัน TVXQ ได้เปลี่ยนวิธีการทำงานร่วมกันของบริษัทและเด็กฝึกในอนาคต

แจจุง, ยูชอน และจุนซู อดีตสมาชิก TVXQ ซึ่งปัจจุบันรู้จักในชื่อ JYJ ได้ยื่นฟ้อง SM Entertainment เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2009 พวกเขาบรรลุข้อตกลงในปี 2012 โดยข้อมูลของคดีศาลเปิดเผยในปี 2015 เพราะกฎหมายที่ออกใหม่ หลังจากนั้นได้มีการเปิดเผยว่าศาลเข้าข้าง SM Entertainment แต่ JYJ ไม่ต้องตกอยู่ในสัญญาทาสอีกต่อไป

Loona

เมื่อปีที่แล้ว เกิร์ลกรุ๊ปวง LOONA เผยคดีของพวกเธอที่มีกับ Blockberry Creative ต่อสาธารณชน สมาชิก 9 คนที่ส่วนใหญ่เข้าข้างชยูซึ่งถูก Blockberry Creative หลอกเรื่องข้อสัญญาและปัญหาการแบ่งกำไรในการทำงาน Blockberry Creative จึงระงับสัญญาของชยู

แม้เรื่องระหว่างต้นสังกัดกับชยูจะพลิกไปพลิกมา แต่เรื่องก็ยุ่งกว่าเดิมเมื่อสมาชิกคนอื่นในวงก็ฟ้องร้องต้นสงกัด มีเพียงวีวี่และฮยอนจินเท่านั้นที่ไม่ได้ฟ้อง และชยูก็ถูกไล่ออกจากวง ส่วนสมาชิกอีก 4 คนชนะการฟ้องร้องเกี่ยวกับการยกเลิกสัญญา ส่วนสมาชิกที่เหลืออีก 5 คนอย่างฮาซึล, ยอจิน, อีฟ, โอลิเวีย ฮเย และโกวอนต้นสังกัดได้ปฏิเสธข่าวที่ว่าพวกเธอร่วมฟ้องด้วยและยืนยันว่าพวกเธอยังคงทำงานภายใต้ Blockberry Creative

EXO

ก่อนหน้านี้ในปี 2014 สมาชิกชาวจีนอย่างคริสและลู่หานก็ได้ฟ้องร้องเรื่อง “สัญญาทาส” ที่จำกัดการทำงานในต่างประเทศของพวกเขา ทั้งระยะของสัญญาและปัญหาการแบ่งกำไร

แม้จะบรรลุข้อตกลงในขั้นสุดท้าย แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้เป็นสมาชิก EXO และมีสัญญากับ SM อีกต่อไป

EXO เป็นบอยกรุ๊ป 9 คนที่เดบิวต์ในปี 2012 ภายใต้สังกัด SM Entertainment และได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในไอดอลเจน 3 ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด พวกเขาเป็นตัวแทนของไอดอลเจน 3 ที่ปูทางชื่อเสียงด้วยเพลงฮิตเช่นเพลงเดบิวท์อย่าง "Mama" ในปี 2012, "Growl", "Overdose" และ "Call Me Baby" ในปี 2015 มีเพลงดังอย่าง "Love Shot" และ "Tempo" ปี 2018

"Don't Fight The Feeling" และ "Runaway" ที่ออกวางจำหน่ายในปี 2021 ฉลองครบรอบ 10 ปีก็ยังคงประสบความสำเร็จ

แต่แบคฮยอน, ซิ่วหมิน และเฉินอ้างว่า SM Entertainment ได้ทำการแก้ไขสัญญาของพวกเขาและยังบังคับให้ต่ออายุสัญญญาก่อนหน้านี้เพื่อให้พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทนานขึ้น สมาชิกทั้ง 3 คนกำลังหาการแยกทางกับต้นสังกัดและเรียกร้องให้มีการแบ่งค่าจ้างที่ไม่เป็นธรรม

อีซึงกิ

สัญญาระหว่าง Hook Entertainment กับอีซึงกิน่าจะเป็นสัญญาที่แย่ที่สุดในวงการ หลักฐานทั้งหมดถูกจัดตรียมโดยอีซึงกิและคนที่เคยทำงานในบริษัทที่แสดงให้เห็นว่า CEO อย่างควอนจียองเอากำไรจากการทำงานของอีซึงกิไปใช้ในเรื่องส่วนตัวซึ่งเป็นความผิดทางกฎหมาย ทั้งไปพักผ่อนในวันหยุดอย่างหรูหรา, ซื้อของแบรนด์เนม, จ่ายค่ารักษาพยาบาลของแม่ หรือกู้เงินให้พี่น้องซื้อบ้านตลอด 18 ปีที่ผ่านมา

แต่ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องเงิน CEO ควอนยังใช้อำนาจในทางที่ผิด เธอบังคับให้อีซึงกิไปร้องเพลงในสถานที่ส่วนตัวตอนกลางคืน, จำกัดค่าอาหารและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไปจนถึงทำร้ายอีซึงกิทั้งทางคำพูดและขู่ฆ่า นับเป็นข่าวอื้อฉาวที่ร้อนแรงที่สุดในเวลานั้นและพิสูจน์ให้เห็นว่าวงการบันเทิงเกาหลียังคงปฏิบัติต่อศิลปินนอย่างไม่เหมาะสมแม้ว่ากฎหมายจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม

ที่มา  1, 2, 3, 4, 5