kim sae ron

แฟนเก่าของ คิมแซรน (Kim Sae-ron) ได้ออกมาพูดถึงการเสียชีวิตของเธอ โดยระบุว่า คิมซูฮยอน (Kim Soo-hyun) ไม่ได้รับความยุติธรรมจากข้อมูลที่บิดเบือน

“ผมรู้ว่าการตายของแซรนไม่ได้เกี่ยวข้องกับคิมซูฮยอน” เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Fact

“มีเรื่องหลายเรื่องที่ไม่เป็นความจริงถูกเผยแพร่ ผมโกรธและอยากจะพูดความจริงส่วนหนึ่ง เพื่อให้แซรนได้จากไปอย่างสงบ”

แฟนเก่าของคิมแซรนบอกว่าเธอสับสนมากในช่วง 1 เดือนก่อนจะเสียชีวิต หลังจากแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งในเดือนมกราคมที่นิวยอร์ก เธอได้มาเล่าให้เขาฟังว่าเธอถูกคุกคามจากสามี ทั้งยึดมือถือ, เช็คข้อความ และด่าว่าเธอ

ในข้อความวันที่ 13 มกราคม สามีของเธอเขียนว่า

“ตอนนี้เธอแต่งงานแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องติดต่อคนอื่น จัดการปัญหาที่เธอก่อนไว้ด้วย เธอเป็นผู้หญิงที่น่าขยะแขยง”

แฟนเก่าคิมแซรนบอกว่าในช่วงนี้คิมแซรนพยายามทำร้ายตัวเองหลายครั้ง 

แฟนเก่าของเธอบอกว่าความเจ็บปวดของเธอไม่ได้เกี่ยวกับเงิน 700 ล้านวอน ที่ต้นสังกัดได้ส่งจดหมายทวงถามมา 

วันที่ 15 มกราคม คิมแซรนได้ส่งข้อความถึงแฟนเก่าว่า

“ฉันขอโทษ ด่าฉันก็ได้ ว่าฉันบ้าก็ได้ แต่ฉันถูกตีและถูกด่าว่าตลอด แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แค่คุณมีความสุข ฉันก็ไม่ต้องการอย่างอื่นแล้ว คุณคือคนที่ฉันรักมากที่สุดในโลก”

คิมแซรนยังได้อธิบายถึงเหตุผลที่เธอแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ว่า

“ฉันเจอเขาเมื่อเดือนพฤศจิกายน ตอนแรกฉันแค่เหงา ฉันอยากมีใครซักคนที่รับฟังและช่วยเหลือ แต่พอเขาขู่ว่าจะปล่อยแชทและรูปภาพของเรา, แฮ็คอินสตาแกรมของฉัน, ตีฉัน และด่าฉัน ฉันกลัว ฉันออกมาไม่ได้ และฉันกลัวว่าคุณจะได้รับอันตราย”

แฟนเก่าของคิมแซรนเล่าว่าตอนนั้นเธอรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะถูกครอบครัวละเลย ตอนวันที่ 1 พฤศจิกายน 2024 เธอทำร้ายตัวเองจนต้องเข้าผ่าตัดฉุกเฉิน แต่ไม่มีสมาชิกในครอบครัวมาเยี่ยมเลยแม้ว่าจะติดต่อไปแล้วก็ตาม

แฟนเก่าของคิมแซรนได้พูดถึงคนที่บอกว่าเป็นป้าของคิมแซรน ซึ่งทำตัวเหมือนเป็นครอบครัวของเธอและออกมาเปิดเผยข้อมูลหลังจากที่เธอเสียชีวิตผ่านทางช่อง Hoverlab และชี้นำว่าการเสียชีวิตของคิมแซรนมีสาเหตุมาจากคิมซูฮยอน

“ครอบครัวไม่รู้ว่าเธอแต่งงานได้ยังไง? เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้คุยกัน”

แฟนเก่าของคิมแซรนบอกต่อ

“ตอนนี้เธอจากไปแล้ว การไปขุดอดีตของเธอกับคนดังคนอื่นเหมือนเป็นการปั่นหัวคน ผมไม่รู้จักคิมซูฮยอน แต่การโทษเขาเพราะเขาเป็นคนดังมันไม่ยุติธรรมเลย”

สำนักข่าว The Fact รายงานว่า แฟนเก่าของคิมแซรนทั้งเซ็นลายเซ็นและประทับลายนิ้วมือพร้อมชื่อและเลขบัตรประชาชนเพื่อยืนยันตัวตนของเขา เขายังได้ส่งคลิปเสียงและเอกสารจากโรงพยาบาลในกังนัมซึ่งคิมแซรนเข้ารับการรักษาตอนที่เธอพยายามทำร้ายตัวเอง

หลังจาก The Fact รายงานข่าวไปไม่นาน ช่อง Hoverlab ได้ปล่อยสำเนาทะเบียนสมรสของคิมแซรน พร้อมด้วยข้อความที่อ้างว่าเป็นของสามีของเธอ

“ความจริงถูกบิดเบือนจากหลายกลุ่ม สร้างความเสียหายให้กับทั้งคิมแซรนที่จากไปและชื่อเสียงของผม ผมตัดสินใจออกมาพูดเรื่องนี้เพื่อความชัดเจน”

จากคำชี้แจ้งพบว่าทั้งคู่เจอกันผ่านคนรู้จักช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนเมื่อปีที่แล้ว และแต่งงานกันที่อเมริกาเมื่อวันที่ 12 มกราคม อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่าเขาตัดสินใจแบบนั้นโดยไม่ได้คิดให้รอบคอบ และอยู่ในระหว่างการหย่าซึ่งตกลงกันทั้ง 2 ฝ่ายเนื่องจากอุปสรรคด้านระยะทางและนิสัยที่แตกต่างกัน

เขายังได้ปฏิเสธข้อมูลที่เผยแพร่บนโลกออนไลน์ ที่บอกว่าเขาทำร้ายร่างกาย, ขู่ และกักขังเธอ

“ที่พักในสหรัฐฯ มักจะเป็นอพาร์ทเม้นท์ที่หลายครอบครัวอยู่รวมกันและกันเสียงได้ไม่ดี”

เขาพูดต่อ

“ถ้ามีเรื่องทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น เพื่อนบ้านที่อยู่ชั้นล่างจะแจ้งความทันที”

เขาบอกว่าเขาเจอกับคิมแซรน 4 ครั้ง ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2024 – กุมภาพันธ์ 2025 นอกจากตอนที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เป็นเธอเองที่บินมาอเมริกา 

“ถ้าเธอถูกทำร้ายและกักขัง แล้วทำไมเธอถึงกลับมาด้วยตัวเอง?”

เขายอมรับว่าเขาและคิมแซรนรู้พาสเวิร์ดโทรศัพท์ของกันและกัน รวมถึงบัญชีโซเชียลด้วย แต่การตัดสินใจนี้เกิดจากความเชื่อใจกันและกันและยินยอมกันทั้ง 2 ฝ่าย

เขาปฏิเสธข่าวลือที่บอกว่าคิมแซรนตั้งครรภ์และทำแท้ง บอกว่าเรื่องนี้ไม่มีมูลความจริง ซึ่งเรื่องนี้มาจากยูทูปเบอร์ อีจินโฮ ที่กล่าวหาว่า คิมแซรนทำแท้งในเดือนมกราคมหลังจากแต่งงาน 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องค่ารักษาพยาบาลของคิมแซรน ซึ่ง ควอนยองชาน ประธานสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายของคนดังบอกว่าเขาได้ไปคุยกับครอบครัวของคิมแซรนเอง รวมถึงแม่ของเธอ 

“คิมแซรนไม่เคยขอให้คนรู้จักช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ ครอบครัวเป็นคนดูแลเกือบทั้งหมด”

จากข้อมูลของควอนยองชานบอกว่า คิมแซรนเข้ารับการรักษา 20 ครั้งก่อนจะเสียชีวิต พ่อแม่ของเธอเป็นคนจ่ายค่ารักษา 18 ครั้ง และประธานบริษัทต้นสังกัดของเธอจ่ายที่เหลืออีก 2 ครั้ง

“คิมแซรนไม่อยากทำให้ครอบครัวของเธอกังวล และรู้สึกผิดต่อแม่ของเธอ ทำให้เธอไม่ค่อยบอกพวกเขาเรื่องค่าใช้จ่ายบางอย่าง”