วัคซีน…ลดเสี่ยงโรค กันไว้ดีกว่าแก้ (สวยด้วยแพทย์)
มารู้จัก 2 โรคคุ้นหู…ที่ไม่อยากคุ้นเคย และเรื่องราวของการฉีดวัคซีนป้องกันทั้ง 2 โรคนี้…"ไข้หวัดใหญ่" และ "มะเร็งปากมดลูก"
ไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเกิดจากไวรัสหลายชนิดซึ่งสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ติดต่อโดยการไอ จาม หรือหายใจรดเอาเชื้อที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำมูก น้ำลายหรือเสมหะผู้ป่วย หรือโดยการสัมผัสถูกมือหรือสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ
อาการ ไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ อาการมักเกิดขึ้นทันทีทันใดหรืออาจจะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกใส ไอแห้ง ๆ จุกแน่นท้อง โดยอาการมักดีขึ้นและหายได้ใน 1 สัปดาห์ แต่ในผู้ติดเชื้อบางรายจะมีอาการรุนแรง และเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ เช่น ผู้สูงอายุ
การระบาดของไข้หวัดใหญ่พบได้เป็นประจำทุกปี ผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงในการเป็นจึงสามารถฉีด "วัคซีน" ป้องกันได้
มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย จากสถิติพบว่า ผู้หญิงไทยต้องเสียชีวิตจากโรคนี้เฉลี่ยสูงถึง 7 คนต่อวัน สาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกมาจากการติดเชื้อ "ไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมา" (Human Papilloma Virus หรือ HPV) ประเภทสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง คือ ชนิดที่ 16 และ 18 โดยจะแฝงตัวอยู่ที่บริเวณปากมดลูก และส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ
HPV สายพันธุ์ชนิด 16 และ 18 นอกจากจะเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 70% แล้ว ยังเป็นสาเหตุของมะเร็งช่องคลอด และมะเร็งปากช่องคลอดได้อีกด้วย
ปัจจัยที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV
การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อ HPV (คู่ร่วมเพศไม่แสดงอาการใด ๆ)
คู่นอนมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่น หรือชายอื่นหลาย ๆ คน
การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ
ดังนั้น สตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้วทุกคนมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV
ฉีดวัคซีน…ป้องกันไว้อุ่นใจกว่า
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ใช้สำหรับป้องกันการติดเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่แนะนำเป็นอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อน แถมปัจจุบันได้มีการพัฒนาวัคซีนให้สามารถป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ถึง 3 สายพันธุ์ในเข็มเดียวกันก็มีแล้ว
การเตรียมตัวก่อนฉีด : คนปกติที่แข็งแรงสามารถฉีดได้เลย ไม่ต้องเตรียมตัวใด ๆ ข้อควรระวังก่อนฉีดควรหลีกเลี่ยงหากมีประวัติแพ้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่เคยฉีดมาก่อน มีอาการแพ้ไข่อย่างรุนแรง หรือเจ็บป่วยมีไข้สูง ติดเชื้ออย่างเฉียบพลัน
หลังฉีดวัคซีน : ท่านจะไม่เป็นไข้หวัดใหญ่จากวัคซีนที่ฉีดเข้าไป เนื่องจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในวัคซีนถูกทำลายหมด อาการข้างเคียงอาจเกิดได้บ้าง อาทิ อาการเจ็บ บวมแดงบริเวณที่ฉีด เป็นไข้ ปวดซึ่งอาการเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นทันทีหรือ 1-2 วันหลังการฉีด
ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ และสามารถป้องกันได้ภายใน 2-3 สัปดาห์หลังฉีด และอาจอยู่ได้นานกว่า 1 ปี โดยทั่วไปวัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้ร้อยละ 60-90 หรือหากเป็นโรคอาการของโรคมักไม่รุนแรง
วัคซีนมะเร็งปากมดลูก
เชื้อ HPV ที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกมีหลายสายพันธุ์ (ปัจจุบันค้นพบเชื้อ HPV มากกว่า 100 สายพันธุ์) แต่สายพันธุ์ที่พบบ่อยว่าเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก (ประมาณร้อยละ 70) คือ สายพันธุ์ชนิด 16 และ 18 จึงคัดเอาเฉพาะสายพันธุ์ 16 และ 18 มาผลิตทำเป็นวัคซีน
ปัจจุบัน มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัคซีนให้สามารถป้องกัน HPV สายพันธุ์ชนิด 6 และ 11 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคติดต่อที่รักษาหายขาดได้ยากอย่างหูดอวัยวะเพศ (หูดหงอนไก่) รวมอยู่ในวัคซีนเข็มเดียวกันด้วย ทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันครอบคลุมได้ถึง 4 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ชนิด 6, 11, 16 และ 18
วัคซีน HPV ชนิด 4 สายพันธุ์
มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ชนิด 16 และ 18 โดยสามารถป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกในระยะที่โรคกำลังก่อตัว และระยะที่โรคยังไม่ลุกลามได้เกือบ 100% อีกทั้งยังสามารถป้องกันมะเร็งชนิดอื่น ๆ ได้อีก เช่น สภาวะก่อนเริ่มเป็นมะเร็งปากช่องคลอด และมะเร็งช่องคลอด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV ชนิดที่ไม่มีผลต่อการเกิดมะเร็ง แต่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศได้อีกด้วย
จากผลการวิจัยพบว่า สตรีที่สามารถรับการฉีดวัคซีน HPV ได้มีช่วงอายุตั้งแต่ 9 ปีขึ้นไปตลอดทุกช่วงอายุ แม้มีเพศสัมพันธ์แล้วก็ตาม โดยต้องรับการฉีดวัคซีนทั้งหมด 3 เข็ม เป็นระยะ ๆ (ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ) คือ ฉีดเข็มที่ 1 หลังจากนั้นอีก 2 เดือน ฉีดเข็มที่ 2 และเมื่อครบ 6 เดือน ฉีดเข็มที่ 3 ซึ่งจะสามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้อย่างน้อย 5 ปี ทั้งนี้ ผลการทดลองฉีดวัคซีนชนิดนี้ในเด็กไม่มีผลกระทบต่อภาวะการเจริญเติบโตแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม วัคซีน HPV เป็นเพียงวิธีหนึ่งของการป้องกันมะเร็งปากมดลูก ดังนั้น เพื่อประสิทธิภาพการป้องกันในระยะยาว สตรีทุกคน แม้จะได้รับวัคซีน HPV มาแล้ว ก็ควรตรวจ "แป๊บสเมียร์" (Pap Smear) เป็นประจำทุกปี เพื่อคัดกรองหาเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในระยะที่ยังไม่แสดงอาการก่อนที่จะกลายเป็นเซลล์มะเร็งก็จะทำให้โอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกลดลงไปมาก
ข้อมูลจากกระปุกดอดคอม