ชินฮยอนบิน (Shin Hyun Been) และ มุนซังมิน (Moon Sang Min) ได้ร่วมถ่ายแบบและให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Singles Korea

คลิก!!!

ระหว่างสัมภาษณ์พวกเขาได้พูดถึงการเจอกันครั้งแรก ชินฮยอนบินเล่าว่า

“เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว ฉันนั่งอยู่ข้างซังมินเหมือนตอนนี้ และเราคุยกัน แต่เขาไม่มองหน้าฉันตอนคุยเลยค่ะ ฉันก็สงสัยว่าเขาเขินเหรอ แล้วถามแบบแซวๆไปว่าเขาจะทำงานกับฉันได้ไหมเนี่ย ฉันจำได้ว่าเขาบอกว่า ‘ผมทำได้แน่นอน’ อ้อ แล้ววันนั้นซังมินเอาดอกไม้มาด้วยค่ะ ยังตลกอยู่เลยเพราะว่าบนซองการ์ดเขียนว่า ‘ถึง รุ่นพี่ฮยอนบิน’ แต่พอเปิดดูการ์ดกลับไม่ได้เขียนอะไรไว้เลย ฉันงงไปเลย สงสัยว่าซังมินเป็นคนแบบไหนกันนะ”

มุนซังมินบอกว่า

“ผมเลือกช่อดอกไม้ขนาดกลางๆ เพราะช่อใหญ่ก็จะดูเว่อร์ไป ส่วนซองการ์ดก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ผมดีใจนะที่ทำให้เธอหัวเราะ ตอนที่เจอกันครั้งแรกผมทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ผมเห็นคุณฮยอนบินบ่อยๆทางหน้าจอโทรทัศน์ การได้มาเจอเธอตัวจริงเลยทำให้รู้สึกเขินหน่อยๆ”

เมื่อถามว่าคิดว่าแต่ละคนเป็นคนยังไง ชินฮยอนบินบอกว่า

“มุนซังมินเป็นคนซื่อสัตย์และตลก มันไม่ง่ายเลยที่ต้องจริงใจในการทำงาน แต่ซังมินเป็นคนตรงไปตรงมามาก ฉันชื่นชมเขาในจุดนั้น หลังจากถ่ายทำไปได้ 3-4 ตอน เราก็สนิทกัน ซึ่งมันรู้สึกดีมาก แม้ว่าเขาจะอายุน้อยกว่า แต่บางครั้งเขาก็เหมือนเพื่อน หรือไม่ก็คนอายุมากกว่า”

มุนซังมินบอกว่า

“ชินฮยอนบินเป็นคนเสียสละ เธอแคร์คนอื่นจากใจและคิดถึงคนอื่น ผมประทับใจเธอและพยายามจะเป็นให้ได้แบบเธอ”

มุนซังมินนั้นขึ้นชื่อเรื่องความเข้ากับคนง่าย เมื่อถามเรื่องนี้กับชินฮยอนบิน เธอบอกว่า

“ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยค่ะ ในกองถ่าย เขาคุยกับทีมงาน ไปจนถึงคนเดินผ่านไปมา และพนักงานร้านค้า เวลาที่เราต้องไปถ่ายกันข้างนอก”

มุนซังมินบอกว่า

“ทำให้เวลาถ่ายทำมักจะล่าช้าครับ ผมชอบคุยกับคน”

พูดคุยเกี่ยวกับการถ่ายแบบในวันนี้ ซึ่งโฟกัสการถ่ายทอดความสัมพันธ์แบบที่ผู้หญิงมองโลกตามความเป็นจริง และชายหนุ่มที่เด็กกว่าซึ่งสนใจแค่เธอ ชินฮยอนบินบอกว่า

“พวกเรา 2 คนโอเคกันมากเลยค่ะ การถ่ายทำเลยสนุกและผ่านไปเร็ว”

มุนซังมินพูดติดตลกว่า

“เคมีดีมากเลยครับ”

เมื่อถามถึงคำแรกที่นึกถึงหลังจากอ่านบทเรื่อง Cinderella at 2AM ชินฮยอนบินบอกว่า

“ความแฟนตาซีที่สมจริง หรือไม่ก็เรื่องโรแมนติกที่ไม่จำเจ ตอนแรกฉันสงสัยมากว่า Cinderella at 2AM เกี่ยวกับอะไร หลังจากอ่านบทเสร็จ ฉันรู้สึกว่าชื่อเรื่องเข้ากันมาก เรื่องราวของพนักงานรุ่นน้องที่กลายเป็นลูกชายคนเล็กของผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ยุนซอ (รับบทโดย ชินฮเยบิน) ไม่ได้อยากเป็นซินเดอเรลล่า เนื้อเรื่องอธิบายถึงความรู้สึกว่างเปล่าเวลาตี 2 ที่ซินเดอเรลล่ากลับมาบ้านหลังจากไปงานเลี้ยง ที่ไม่มีทั้งชุดสวยและรองเท้าแก้ว พวกเรารู้กันดีอยู่แล้วว่าการได้เจอกับความจริงที่ไม่อยากยอมรับเป็นอะไรที่แย่ที่สุดแล้ว ฉันรู้สึกถึงความว่างเปล่าของยุนซอที่เธอจะได้เจอหลังจากใช้ชีวิตแบบแฟนตาซี”

นักแสดงทั้ง 2 คน ได้พูดถึงจุดโฟกัสของตัวละครของตัวเองในเรื่องนี้ว่า

“ฉันมีสมาธิกับอารมณ์เล็กๆน้อยๆค่ะ ฉันวางเป้าหมายไว้ว่าอยากแสดงความรู้สึกขัดแย้งระหว่างความรักและความอยากจะไล่คนซักคนออกไป ฉันไม่อยากให้ผู้ชมไม่ชอบยุนซอ แม้ว่าเธอจรักเขา แต่ความพูดแรงๆของเธอที่พูดกับจูวอน (รับบทโดย มุนซังมิน) อาจจะทำให้เธอดูใจร้าย บทพูดใจร้ายมากเลยค่ะ ฉันเลยพยายามปรับมันเล็กน้อยให้แสดงความรักที่แฝงอยู่ในนั้นด้วย ฉันตั้งใจแสดงในฉากที่ต้องเจอกันและจากกันด้วยค่ะ”

มุนซังมินบอกว่า

“พอตัวละครของผมถูกเปิดเผยว่าเป็นทายาทแชโบลรุ่น 3 ผมอยากจะเน้นตอนที่เรื่องราวตรงนี้เปิดเผย ผมพยายามเน้นในส่วนของการเป็นพนักงานน้องเล็กของทีม และการเป็นทายาทเศรษฐีโดยจะมีทั้งสไตล์และการแสดงที่แตกต่างกัน”

เมื่อถามว่าจะเป็นอย่างไรหากสลับบทให้ชินฮยอนบินเป็นทายาทแชโบล และมุนซังมินรับบทเป็นคนที่มองโลกตามความเป็นจริงแทน ชินฮยอนบินตอบว่า

“ฉันเป็นพวกใช้ความรู้สึก ส่วนซังมินเป็นพวกใช้ความคิด [จากแบบทดสอบบุคลิกภาค MBTI] แต่ตัวละครของเราสลับกันในซีรีส์ค่ะ ทำให้รู้สึกสับสนบ้าง เรามักจะมีปัญหาในการทำความเข้าใจตัวละครของกันและกันและจะพูดประมาณว่า ‘ทำไมอันนี้ถึงเจ็บปวดเหรอ?’ หรือไม่ก็ ‘ไม่นะ อันนี้โอเค’ พยายามจะโน้มน้าวอีกฝ่ายค่ะ มันเหมือนกับเวลาเราคุยกันในชีวิตจริง สะท้อนบทของเราที่แสดงในจอ”

มุนซังมินบอกว่า

“มันคงสนุกน่าดู เราคงไม่ต้องแสดง แค่เป็นตัวของตัวเอง และพูดอะไรประมาณว่า ‘ยุนซอ อย่าเอาแต่ใช้อารมณ์’ แต่ถ้ายุนซอเป็นพวกพูดตรงไปตรงมา และยังเป็นทายาทแชโบลอีก เธอคงจะได้รับความนิยมมากๆ”

เมื่อถามถึงมุมมองต่อการเป็นนักแสดงว่าแตกต่างกันหรือไม่ เพราะพวกเขาอายุแตกต่างกัน 9 ปี ชินฮยอนบินตอบว่า

“การได้ทำอะไรที่คุณรักเป็นสิ่งที่มีค่า การแสดงเป็นสิ่งที่ไม่เหมือนใคร เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับโอกาส ฉันเลยรู้สึกขอบคุณงานที่ทำเสมอ งานนี้มาพร้อมกับความรับผิดชอบ และฉันต้องมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช่แค่คิดแต่เรื่องการแสดง สิ่งที่ฉันให้คุณค่ามากที่สุดคือคนที่ฉันได้เจอ ไม่ว่าผลลัพธ์ของแต่ละเรื่องจะออกมาเป็นยังไง แต่นักแสดงและทีมงานที่ฉันได้ร่วมทำงานด้วยกลายเป็นส่วนที่มีคุณค่าส่วนหนึ่งในชีวิตของฉัน”

มุนซังมินบอกว่า

“มันไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าจะถ่ายทำโปรเจคหนึ่งเสร็จไป ก็ยังมีโปรเจคอื่นตามมา เหมือนกับเปลี่ยนจากฉากหนึ่ง ไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมค่อยๆทำความเข้าใจและพึงพอใจกับโอกาสที่เข้ามาเรื่อยๆ แม้ว่าผมอยากจะทำให้ดีและรู้สึกไม่พอใจเวลาที่สิ่งนั้นไม่ออกมาตามที่วางแผนไว้ แต่ความรักที่มีต่อการแสดงทำให้ผมผ่านเรื่องพวกนั้นมาได้”

เมื่อถามว่าพวกเขาจะทำอาชีพอะไรถ้าไม่ได้เป็นนักแสดง ชินฮยอนบินตอบว่า

“ฉันก็ไม่แน่ใจค่ะ ถ้าฉันไม่ได้เป็นนักแสดง ฉันก็คงทำงานในสายงานที่เกี่ยวกับภาพยนตร์ อย่างเช่นทีมผลิต หรือบริษัทผู้จัดจำหน่าย เพราะว่าฉันชอบหนังฉันเลยมาแสดงค่ะ”

มุนซังมินบอกว่า

“ผมคงจะเลือกงานในสายงานบริการ เพราะผมชอบพูดคุยกับคน อาจจะในร้านเช่าอุปกรณ์กีฬา อย่างพวกสกี ที่ผมนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์และคุยกับลูกค้า ฉันชอบทำงานกับคน นี่เป็นเหตุผลที่การแสดงเข้ากันได้ดีกับผม”

ติดตามภาพถ่ายและบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มของชินฮยอนบินและมุนซังมินได้ในนิตยสาร Singles Korea ฉบับเดือนกันยายน

ที่มา (1)