การทำซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายหรือเว็ปตูนที่ได้รับความนิยม ถือเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากจะได้รับการจับตามองจากแฟนคลับของผลงานต้นฉบับว่าจะออกมาในทิศทางใด จะเหมือนหรือแตกต่างไปจากต้นฉบับมากน้อยแค่ไหน และการเปรียบเทียบกับต้นฉบับก็เป็นอีกสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

คลิก!!!

ยอนซังโฮ (Yeon Sang-ho) ผู้กำกับออริจินอลซีรีส์ของ Netflix เรื่อง 'Parasyte: The Grey' ได้หาจุดสมดุลที่จะใส่ความแตกต่างของความเป็นตัวเอง ในขณะที่ยังคงไว้ซึ่งต้นฉบับมังงะสยองขวัญของญี่ปุ่นเรื่อง ‘Parasyte’

'Parasyte: The Grey' ปล่อยให้รับชมกันทาง Netflix เมื่อวันที่ 5 เมษายน เล่าเรื่องของ จองซูอิน (รับบทโดย จอนโซนี (Jeon So-nee)) หญิงสาวที่ใช้ชีวิตคนเดียว ด้วยชีวิตที่เงียบสงบ เติบโตขึ้นมาจากครอบครัวที่มีพ่อใช้ความรุนแรง

อยู่มาวันหนึ่ง เธอได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ร้ายแรง และกลายเป็นร่างโฮสให้กับปรสิตชื่อว่า Heidi ซึ่งเอาตัวรอดโดยการฝังตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์ ทำให้ต้องมีการสร้างกองกำลังชื่อว่า "The Grey" ซึ่งนำโดย ชเวจุนฮยอง (รับบทโดน อีจองฮยอน (Lee Jung-hyun)) เพื่อกำจัดปรสิตที่แฝงอยู่ในคราบของมนุษย์

ด้วยความช่วยเหลือของ คังซังอู (รับบทโดย กูคโยฮวาน (Koo Kyo-hwan)) ที่สูญเสียน้องสาวไปจากปรสิต จองซูอินเจอทางรอดและเรียนรู้ในการใช้ร่างร่วมกันกับ Heidi

สำหรับผู้กำกับยอนซังโฮ เคยฝากฝีมือไว้ในผลงานเรื่อง “Train to Busan” (2016) และซีรีส์ “Hellbound” (2021) เขาได้รับแรงบันดาลใจในผลงานซีรีส์เรื่องล่าสุดของตัวเองมากจากผลงานมังงะของนักเขียน ฮิโทชิ อิวากิ และนำมาปรับปรุงแก้ไขให้ต่างจากการเล่าเรื่องในฉบับการ์ตูน

“ผมเป็นแฟนคลับของ (มังงะเรื่องนี้) มานานแล้ว ผมทำเรื่องนี้โดยคิดว่าตัวเองได้เขียนแฟนฟิคเกี่ยวกับตัวละครที่ผมชอบ ผมไม่ได้คิดเลยว่าการทำภาคแยกของ 'Parasite' จะสามารถทำเงินได้หรือไม่”

ยอนซังโฮบอกระหว่างให้สัมภาษณ์กับ The Korea Times

“ซีรีส์มีโลกเดียวกันกับผลงานต้นฉบับ แต่ผมอยากจะสร้างเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์ของเราเอง”

ผู้กำกับพูดต่อ

“ขั้นตอนการผลิตสนุกมากกว่าจะเป็นงานหนัก นักเขียนต้นฉบับเปิดโอกาสมากๆในการให้เราได้ทำสิ่งที่แตกต่าง ผมเริ่มจากคำถามที่ว่า ‘จะเป็นอย่างไรถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่เกาหลี?’ และพัฒนาเนื้อเรื่องจากตรงนั้น”

ในซีรีส์ Heidi จะเข้าครอบงำสติของซูอิน ในขณะที่ในมังงะ ตัวละครชินอิจิ อิซุมิ สามารถสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์กับปรสิตที่อยู่บนแขนของเขา

จอนโซนี ที่รับบททั้ง ซูอิน และ Heidi บอกว่าตื่นเต้นที่ได้ร่วมแสดงในเรื่องนี้ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่ต้องแสดงทั้งบทของมนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ไปพร้อมๆกัน

“ฉันคิดว่าคุณไม่สามารถพอใจทุกสิ่งได้ 100% หรอก…ฉันเลยดีใจที่ซีรีส์ทำเรื่องขึ้นมาใหม่ เพราะว่าต้นฉบับไร้ที่ติมาก แทนที่จะทำเรื่องออกมาแบบเดียวกัน มันคงจะน่าสนุกกว่าถ้าได้เปลี่ยนฉาก และให้เราได้ใส่สีสันของเราลงไปในผลงานด้วย”

“ตอนที่รู้ครั้งแรกว่าฉันต้องแสดงทั้ง 2 บท (Heidi และ ซูอิน) ตอนแรกฉันก็กลัว รู้สึกเหมือนต้องพยายามทำให้คนแยกพวกเขาออกจากกันให้ได้ แต่ยิ่งฉันคิดเรื่องนี้ ฉันก็คิดได้ว่าสิ่งสำคัญคือการทำให้ตัวละครซูอินสามารถทำให้คนเชื่อได้”

จอนโซนีได้พูดถึงความแตกต่างระหว่างบุคลิกของเธอกับตัวละครซูอิน

“มีบางอย่างที่ฉันกับตัวละครไม่เหมือนกัน แต่ฉันก็พบว่าฉันเข้าใจความแตกต่างนั้น ฉันไม่เหมือนซูอินตรงที่ฉันไม่แคร์กับความรู้สึกโดดเดี่ยว หรือ ไม่มีความกระตือรือร้นในการใช้ชีวิต ทำให้ฉันเห็นตัวละครของเธอในแบบที่แตกต่างไปจากประสบการณ์ของตัวเอง”

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องโชคร้าย แต่มันก็เหมือนเป็นตัวเร่งให้เธอได้เจอกับความรู้สึกที่ได้รับการเชื่อมต่อกับใครซักคน ฉันโฟกัสในการถ่ายทอดว่าเธอค่อยๆเริ่มอยากจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”

นอกจากความสนุกที่ได้จากฉากแอคชั่นและ VFX ที่ชวนสยองเวลาที่ปรสิตเผยตัวตนออกมาจากมนุษย์ อีกสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้คือข้อความปรัชญาการอยู่ร่วมกันและพึ่งพากันของสังคม

ผู้กำกับบอกว่า

“ผมยึดข้อความที่พยายามถ่ายทอดการคงอยู่และการเชื่อมโยงกันของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ผมแปลความคำว่า ปรสิต เหมือนกับการใช้ชีวิตโดยต้องพึ่งพากัน ผมเลยพยายามสร้างการเล่าเรื่องที่ Heidi พึ่งพาซูอิน จนนำไปสู่การอยู่ร่วมกันและเอาตัวรอดไปด้วยกัน”

“สำหรับซีซั่นแรก ผมวางเป้าหมายเพื่อเล่าเรื่องขององค์กร ผมพยายามเชื่อมโยงทุกมุมมองเข้ากับองค์กร คังอูเลยเหมือนเป็นตัวแทนขององค์กร ในขณะที่ปรสิตก็เป็นตัวแทนของกลุ่มลัทธิ”

ซีรีส์จบด้วยความเซอร์ไพรส์เมื่อ โชตะ โซเมตานิ ผู้รับบทเป็น ชินอิจิ อิซุมิ ในภาพยนตร์เรื่อง Parasyte ของฝั่งญี่ปุ่น ได้ปรากฏตัวในซีรีส์ เผยให้เห็นความน่าจะเป็นของซีซั่น 2

ผู้กำกับบอกว่าเขามีพล็อตสำหรับซีซั่นต่อไปแล้ว แต่การสร้างซีซั่นต่อไปยังไม่มีการตัดสินใจ

“ผมมีไอเดียว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้แล้ว บอกได้เลยว่า ชินอิจิ จะปรากฏตัวถ้ามีการทำซีซั่น 2”

“ผมเขียนบทของซีซั่น 2 แล้วด้วย และอธิบายให้โชตะฟังตอนที่ถ่ายทำ (ฉากสุดท้ายของซีซั่นแรก)”