ยอจินกู และโชอีฮยอน เผยถึงสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้เกี่ยวกับความรักผ่านภาพยนตร์เรื่อง “Ditto” ที่รีเมคขึ้นมาอีกครั้ง, การเอาชนะปัญหาของตนเอง และอื่น ๆ
2022-11-08 15:02:29
Advertisement
Pyramid Game

ยอจินกูและโชอีฮยอนได้ให้สัมภาษณ์กับ Cosmopolitan Korea เกี่ยวกับภาพยนตร์รีเมคของพวกเขาที่กำลังจะเข้าฉาย รวมทั้งความคิดเกี่ยวกับความรักและอื่น ๆ 

 

ทั้งคู่แสดงภาพยนตร์รีเมคเรื่อง “Ditto” ที่กำลังจะเข้าฉายเร็ว ๆ นี้ เรื่องราวความรักและมิตรภาพระหว่างนักศึกษา 2 คนจากช่วงเวลาที่แตกต่างกันซึ่งบังเอิญได้คุยกันผ่านวิทยุสื่อสาร ยอจินกูรับบทเป็นยง รุ่นพี่ที่ใช้ชีวิตในปี 1999 ส่วนโชอีฮยอนรับบทมูนี นักศึกษาปี 2 ที่ใช้ชีวิตในปี 2022

โชอีฮยอนเผยและหัวเราะไปด้วยว่า “คุณยอจินกูอยู่ในวงการมานาน ทำหลายอย่าง เขาก็เป็นเหมือนคนดังสำหรับฉัน ฉันได้ดูทุกผลงานของเขาด้วยความสนุกสนานค่ะ ฉันเลยมีความสุขมากที่ได้ถ่ายหนังกับนักแสดงที่ยอดเยี่ยมเช่นเขาค่ะ”

 

ยอจินกูตอบอย่างรวดเร็วด้วยเสียงหัวเราะเช่นกันว่า “ทำไมเสียงเหมือนคุณกำลังล้อเลียนผมล่ะครับ? ความแตกต่างระหว่างอายุของเราไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นนะ” โชอีฮยอนกล่าวต่อว่า “ตอนที่คุณจินกูให้เบอร์โทรศัพท์กับฉัน เขาถามว่า 'คุณคงจะไม่เมมชื่อผมว่า ‘รุ่นพี่’ ใช่ไหมครับ บอกตามตรงนะคะว่าตอนนั้นฉันกำลังเมมคำว่า 'รุ่นพี่' อยู่เลยค่ะ จริง ๆ แล้วฉันมีบุคลิกขี้อายมากแต่เขาก็เข้าหาฉันก่อน ฉันจึงสามารถเข้าหาเขาได้อย่างสบายใจเช่นกันค่ะ”

 

ต้นฉบับของภาพยนตร์เรื่อง “Ditto” นำแสดงโดยยูจีแทและคิมฮานึลกับบทวัยรุ่น 2 คนที่อยู่แยกกันในปี 1979 และ 2000 เมื่อนึกถึงครั้งแรกที่พวกเขาอ่านบท ยอจินกูกล่าวว่า “ผมเคยดูหนังโรแมนติกในช่วงปี 1990 นะครับ พอผมนึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลานั้นหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในหนังที่ผมเคยดูครับ และผมก็ได้รับบทนี้จริง ๆ ผมคิดกับตัวเองว่า ‘ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราจะได้รับบทนี้’”

 

เขาเสริมว่า “เพราะผมอยากทิ้งภาพลักษณ์ของนักเรียนหนุ่มวัย 20 ไปครับผมเลยอยากเล่นเรื่องนี้จริง ๆ ผมเชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นหนังที่กระตุ้นอารมณ์ที่หลากหลายของผู้ชม ทำให้คุณมีเวลานึกทบทวนถึงอดีตและปัจจุบันได้ครับ”

 

ด้านโชอีฮยอนกล่าวว่า “เหมือนเรื่อง ‘All of Us Are Dead’ เลยค่ะ ฉันมักจะได้เล่นคาแร็คเตอร์ที่มีพลัง หนังเรื่องนี้เหมือนเป็นของขวัญสำหรับฉันเพราะฉันต้องการทำงานที่ฉันสามารถทำหน้าที่ได้อย่างสบายใจ ตอนที่อ่านบทฉันชอบบรรยากาศที่อบอุ่นและความรู้สึกที่รู้สึกได้อย่างชัดเจน ฉันจึงตอบตกลงเล่นอย่างไม่ลังเลค่ะ และเพราะต้นฉบับดังมาก ๆ ฉันก็อยากทำเวอร์ชั่นนี้ให้ออกมาดีเช่นกันค่ะ”

แม้จะอยู่คนละรุ่น แต่ตัวละครของยอจินกูและโชอีฮยอนก็ค้นพบสิ่งที่พวกเขาสามารถคุยกันได้หลายอย่างขณะที่พวกเขาเชื่อมต่อกันผ่านทางวิทยุสื่อสาร เมื่อพูดถึงสิ่งที่ตัวละครคุยกัน ยอจินกูเผยว่า “พวกเขาแบ่งปันความกังวลของคนอื่นในช่วงอายุ 20 กว่า ทั้งความรัก ความฝัน และเส้นทางชีวิตของพวกเขา แทนที่จะบอกกันว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ทั้งสองเลือกที่จะระบายความกังวลของตนออกมาจนกลายเป็นความเข้มแข็ง พวกเขาเชื่อว่ามันเป็นปาฏิหาริย์ที่พวกเขาสามารถคุยกันได้แม้จะอยู่คนละปี ตอนที่แสดงผมมักจะคิดว่ามันคงจะดีถ้าตัวผมเองมีความสัมพันธ์แบบนี้บ้าง”

 

โชอีฮยอนเผยว่า “ฉันคิดว่าเหตุผลที่พวกเขาสามารถแบ่งปันความกังวลของพวกเขาได้อย่างซื่อสัตย์เพราะพวกเขาไม่รู้จักกัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสามาร ยงกับมูนีคือความสัมพันธ์ที่ว่าถึงแม้คุณไม่รู้จักฝ่ายตรงข้ามแต่คุณก็สามารถเล่าเรื่องราวของคุณ เรื่องที่คุณทุกข์ใจให้อีกฝ่ายฟังได้ โดยไม่เล่าเรื่องแบบนี้ให้คนสนิทฟังน่ะค่ะ”

 

พอพูดถึงวิธีที่พวกเขาจะแสดงออกเมื่อมีความกังวลในชีวิตจริง ยอจินกูอธิบายด้วยเสียงหัวเราะว่าการแบ่งปันความกังวลเป็นกระบวนการให้และรับ “ถ้ามีคนฟังเรื่องที่ผมกังวล ผมก็อยากฟังเรื่องที่เขากังวลเช่นกันครับ ผมคิดว่าผมเป็นคนไม่กดดันถ้าจะต้องฟังใครสักคนระบายความกังวลของเขา ถ้าคุณมีความกังวลร่วมกัน มันก็จะรู้สึกเหมือนว่าคุณกำลังใกล้ชิดกันมากขึ้น มันเป็นเรื่องดีที่จะแบ่งปันสิ่งต่าง ๆ ให้กันและกันนะครับผมว่า”

 

ในทางตรงกันข้าม โชอีฮยอนเผยว่าเธอเป็นผู้ฟังมากกว่า “ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฉันมักจะใช้เวลาอยู่ที่บ้านด้วยหรือเปล่า แต่คนที่มีเรื่องกังวลมักจะมาปรึกษาฉันเสมอค่ะ” เธอกล่าว “สำหรับฉัน ถ้าฉันมีความกังวลฉันจะเป็นคนประเภทที่เก็บมันไว้กับตัวเองไม่ก็ปล่อยให้มันผ่านไปค่ะ ฉันแค่คิดว่า 'เวลาคงจะแก้ปัญหาได้' ค่ะ”

 

เมื่อถามว่าพวกเขาเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับความรักผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้ ยอจินกูตอบว่า “ขณะที่ดูการแสดงความรักของยง ในใจผมก็รู้สึกเจ็บปวดกับบางสิ่งครับ ผมว่าผมเหมือนยงนะ แต่ทุกวันนี้ผมคิดว่าผู้คนให้ความสำคัญกับความเป็นจริงมากกว่าความรัก คุณลองคิดดู อายุ 20 ของคุณเป็นช่วงอายุที่ดีที่สุดที่จะผ่านร้อนผ่านหนาวเพื่อที่จะได้ตกหลุมรักใครสักคน ผมจึงคิดว่ามันถูกต้องหรือไม่ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยโฟกัสแต่หน้าที่การงาน”

 

โชอีฮยอนกล่าวว่า “สิ่งที่ฉันรู้สึกขณะถ่ายทำคือความรักที่ฉันปรารถนาค่ะ มันคือการสามารถเสี่ยงชีวิตเพื่อคนที่คุณรักได้”เธอเสริมด้วยการหัวเราะว่าแม้ว่าเธอจะปรารถนาว่าสักวันหนึ่งเธอจะมีความรักเหมือนในภาพยนตร์ แต่ตัวตนปัจจุบันของเธอยังเลือกเรื่องงานมาก่อนความรัก

ทั้งคู่พูดถึงความรักและความเชื่อในโชคชะตา ความโรแมนติกที่พวกเขามีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในอนาคตออกมา ยอจินกูอธิบายว่า “ผมมีภาพที่ผมฝันถึงมานานแล้ว หลังจากแต่งงาน เราจะอยู่ในบ้านที่มีสนามหญ้า ผมพยายามวางแผนให้ลูก ๆ ของเราทั้ง 3 คนลูกชาย 1 ลูกสาว 2 ภรรยาอาจจะอยากได้แค่ลูกชาย 1 ลูกสาว 1 แต่ผมคิดว่ามันคงดีถ้ามีลูกสาวสัก 2 คน”

 

โชอีฮยอนเห็นด้วยกับยอจินกู เขาจึงพูดต่อว่า “ผมคิดว่าผมมีความสุขนะครับที่ได้จินตนาการแบบนั้น และเราจะเลี้ยงหมาตัวใหญ่ไว้ในสนาม” เขาหัวเราะและพูดว่า ”ผมโรแมนติกนะ แต่มีหลายอย่างที่ผมต้องทำก่อนหน้าจะแต่งงานครับ”

 

โชอีฮยอนแสดงความเห็นว่า “คนที่แต่งงานแล้วหลายคนไม่ได้พูดแบบนี้เหรอ? 'ฉันรู้ว่าฉันจะแต่งงานกับคนนี้' แทนที่จะหวังเรื่องการแต่งงาน ถ้าฉันเจอใครสักคนที่ทำให้ฉันคิดเช่นนั้นได้ ฉันคงรู้สึกเหมือนฉันคงจะแต่งงานได้ในวันพรุ่งนี้เลยค่ะ” ยอจินกูตอบอย่างตื่นเต้นว่า “ผมว่าความคิดของคุณโชอีฮยอนโรแมนติกจริง ๆ ครับ แทนที่จะตัดสินใจว่าต้องแต่งงานในช่วงเวลาที่อยากแต่ง แต่คุณรู้สึกได้ว่าอยากแต่งงานตอนเจอใครสักคนที่ทำให้คุณมั่นใจว่าคุณอยากจะแต่งงานด้วยมันน่าจะดีกว่าครับ”

ในตอนท้าย ทั้งคู่ได้พูดคุยเกี่ยวกับวิธีการที่พวกเขาต้องการจดจำตัวตนของพวกเขาในปัจจุบัน โชอีฮยอนตอบง่าย ๆ ว่า “ฉันชอบใช้เวลาอยู่ที่บ้านค่ะ เวลาที่ฉันพัก ฉันมักจะใช้เวลาบนเตียงของฉัน เมื่อฉันมองย้อนกลับไปภายหลัง ฉันหวังว่าฉันจะไม่เสียใจที่ฉันนอนลง เพราะฉันต้องการเวลาพักผ่อนที่บ้านเหมือนที่ฉันกำลังทำตอนนี้ ฉันหวังว่าฉันจะสามารถพูดกับตัวเองได้ว่า ‘ตอนนั้นเธอพูดถูกแล้ว!’”

 

ยอจินกูบอกว่า “ผมคิดว่ามันคงดีถ้าผมไม่สามารถจำช่วงเวลาปัจจุบันได้ ผมไม่อยากยุ่งเกินไปหรือติดอยู่ในวัย 20 กว่า ๆ หรือวัยหนุ่มสาว ผมกลับต้องการให้พวกเขาใช้ชีวิตให้เหมือนวันธรรมดาที่ผมพยายามทำให้ดีที่สุดเสมอ 'ตอนผมอายุ 26 ผมทำอะไร? ผมคิดว่าผมใช้ชีวิตอย่างขยันเหมือนตอนนี้' ผมหวังว่านี่จะเป็นสิ่งที่ผมจดจำตัวตนของผมครับ”

 

อ่านบทสัมภาษณ์และการถ่ายแบบทั้งหมดได้ใน Cosmopolitan ฉบับเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้! และ “Ditto” ที่นำแสดงโดยยอจินกูและโชอีฮยอนจะฉายรอบปฐมทัศน์ในวันที่ 16 พฤศจิกายน


ที่มา  (1)

 

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X