เผยความรู้สึกแม่หลังลาคลอด “ไม่มั่นใจในการทำงาน-อิจฉาเพื่อนร่วมงาน”
2014-09-20 14:25:52
Advertisement
Pyramid Game

       ระยะเวลาในการลาคลอด 6 เดือน - 1 ปีอาจเป็นเวลาในฝันของคุณแม่ชาวไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะท่านที่เป็นพนักงานออฟฟิศ และได้รับสิทธิ์ลาคลอดจากประกันสังคมเพียง 3 เดือน เหตุเพราะหากได้รับสิทธิในการลาคลอดที่นานมากขึ้น ครอบครัวก็จะได้มีเวลาคุณภาพสำหรับดูแลลูกได้ ไม่ต้องหอบลูกวัย 3 เดือนหมาดๆ ไปพึ่งพาเนิร์สเซอรี่ หรือฝากคนข้างบ้านเลี้ยงให้ปวดหัวใจ


      แต่ในประเทศที่ผู้หญิงสามารถลาคลอดได้นานกว่าบ้านเรา ก็มีปัญหาให้ต้องเผชิญเหมือนกัน โดยมีการศึกษาพบว่า แม่ที่ได้สิทธิ์ลาคลอดนานๆ นั้น อาจสูญเสียความมั่นใจในการทำงานไปจนหมดสิ้นก็เป็นได้
       
       โดยการศึกษาของ Association of Accounting Technicians พบว่า การหยุดทำงานไปเพราะการลาคลอดนั้น อาจทำให้เหล่าเวิร์กกิ้งวูเมนรู้สึกกลัวการทำงานไปเลยก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการหยุดมาจนถึงเดือนที่ 11 ที่ผู้เป็นแม่ส่วนใหญ่รู้สึกว่าตนเองถูกตัดขาดออกจากโลกแห่งการทำงานอย่างสิ้นเชิงไปแล้ว
       
       นอกจากนั้น การศึกษาในคุณแม่มือใหม่ 2,000 รายครั้งนี้ยังพบว่า ทันทีที่มีลูก ความต้องการสร้างครอบครัวให้ดี และอบอุ่นกลายเป็นเรื่องหลักในชีวิตของผู้หญิงแทนหน้าที่การงาน อีกทั้งการหยุดอยู่บ้านเพื่อเลี้ยงลูกยังทำให้อดีตเวิร์กกิ้งวูแมนถึง 57 เปอร์เซ็นต์ยอมรับว่า เกิดความกลัวขึ้นมาลึกๆ ว่า เมื่อกลับไปทำงาน ตนเองจะไม่เป็นที่ยอมรับจากโลกแห่งการทำงานเหมือนเช่นเคย รวมถึงรู้สึกว่าตนเองก็คงไม่สามารถแบกรับความคาดหวังจากองค์กรได้เหมือนในอดีต
       
       ที่สำคัญ การศึกษาพบว่ามีคุณแม่ 25 เปอร์เซ็นต์รู้สึกอิจฉาเพื่อนร่วมงานที่มีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงาน ขณะที่ตนเองไม่สามารถทำได้ดีเท่า เพราะติดเรื่องเวลาที่ต้องให้กับลูก เพราะเมื่อมีลูก การจะทำงานดึกดื่น หรือต้องตื่นแต่เช้าเพื่อรีบออกไปทำงานอาจเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากสำหรับคนเป็นแม่่ และนั่นเป็นอุปสรรคหนึ่งที่สะกัดกั้นไม่ให้พวกเธอก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นไปนั่นเอง 
       
       ส่วนการเลี้ยงลูกอยู่บ้านนั้น การศึกษาพบว่าคุณแม่ 8 ใน 10 คนรู้สึกเหมือนเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากมีคุณแม่หลายคนยอมรับว่าตนเองแทบไม่ได้พูดคุยสนทนากับใครๆ เลยระหว่างที่เลี้ยงลูกอยู่กับบ้านนั่นเอง
       
       การศึกษาชิ้นนี้ยังเผยอีกด้วยว่า 1 ใน 4 ของคุณแม่กลุ่มนี้พึ่งพาโซเชียลเน็ตเวิร์กสูงเพื่อทดแทนสังคมที่พวกเธอเคยมีแต่ตอนนี้ขาดหายไปนั่นเอง
       
       จากข่าวนี้ ทีมงาน Life & Family ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกคนที่เผชิญกับปัญหานี้นะคะ บางทีสังคมมันก็จอมปลอมมากจนสามารถสร้างภาพลวงตาให้คนเราหลงไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น หรือไม่สำคัญได้โดยที่เราเองก็ไม่รู้สึกตัว แถมยังคิดว่าสิ่งเหล่านั้นจำเป็นเสียด้วยซ้ำ
       
       ส่วนทัศนะของเพื่อนร่วมงานหรือนายจ้างนั้น หากมองเหตุการณ์นี้ในแง่ดี ก็สามารถมองได้เช่นกันว่า คนเราทุกคนย่อมต้องการเพื่อนร่วมงานดีๆ หรือลูกน้องดีๆ ที่จะสามารถไว้วางใจและฝากองค์กรให้เติบโตต่อไปภายใต้การดำเนินงานของพนักงานในอนาคตเหล่านั้น เราคงไม่ต้องการได้พนักงานที่มีปัญหาทางจิตใจ พนักงานที่เติบโตมาแบบขาดความรักความอบอุ่น มาเป็นเพื่อนร่วมงาน-ลูกน้องร่วมออฟฟิศเป็นแน่ ดังนั้น ถ้าแม่คนหนึ่งจะตัดสินใจเลี้ยงลูกให้ดี ทั้งหมดนี้คงไม่ได้ทำเพื่อตัวเธอเอง หรือครอบครัวเธอแต่เพียงอย่างเดียว แต่นั่นอาจหมายถึงสังคมทั้งสังคมที่จะดี หรือเลวตามไปด้วยจากวิธีในการสร้างคนของพ่อแม่นั่นเอง

ที่มา  http://www.manager.co.th/

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X