เตือน "งานบุญ" ป่วยท้องร่วง-อาหารเป็นพิษ ภาคเหนือ - อีสาน เสี่ยงสูง
2015-07-30 16:04:18
Advertisement
คลิก!!!

       กรมอนามัยเผยช่วง "งานบุญ" พบป่วยท้องร่วง-อาหารเป็นพิษสูง เหตุจัดเตรียมอาหารมาก ภาคเหนือ-อีสานสุดเสี่ยง นิยมเมนูพล่า ยำ ลาบ ก้อย เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด กึ่งสุกกึ่งดิบ แนะปรุงสุก สะอาด สกัดโรค
       
       นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ช่วงเทศกาลงานบุญประชาชนจะมีการทำอาหารแจกจ่ายคนในงาน โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสานที่นิยมอาหาร เช่น พล่า ยำ ลาบ ก้อย ซึ่งมักจะปรุงแบบสุกๆ ดิบๆ และเน้นรสชาติที่เผ็ดจัดหรือเปรี้ยวจัด ซึ่งในงานบุญส่วนใหญ่มีการจัดเตรียมอาหารล่วงหน้าในปริมาณมาก ทำให้เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อโรค 3 ชนิด ได้แก่ Staphylococcus aureus หรือเชื้อโรคจากแผล ฝีหนอง Vibrio Parahaemolyticus หรือเชื้อโรคที่พบในอาหารทะเล และ Salmonella หรือเชื้อไทฟอยด์ อาการสำคัญที่พบประจำคือปวดท้อง ท้องเสีย หรืออาจจะมีอาเจียน ร่วมด้วย โดยสามารถป้องกันได้ง่ายๆ ด้วยการปรุงอาหารให้สุกอย่างทั่วถึงด้วยความร้อน
       
       นพ.พรเทพ กล่าวว่า จากข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 27 ก.ค. 2558 พบว่า มีผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วง 614,864 ราย เสียชีวิต 6 ราย โดยภาคเหนือมีอัตราการป่วยสูงสุด นอกจากนี้ ยังพบผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษ 74,290 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการป่วยสูงสุด ส่วนใหญ่พบได้บ่อยในสถานศึกษา ค่ายทัศนศึกษา งานบุญ งานประเพณีต่างๆ ดังนั้น ผู้ปรุงประกอบอาหารควรมีการปรุงอาหารให้สุกอย่างทั่วถึงด้วยความร้อน โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ต้องสุกเท่านั้น รสชาติไม่เผ็ดจัด หรือเปรี้ยวจัดจนเกินไป หากเป็นขนมจีนควรซื้อจากแหล่งจำหน่ายที่น่าเชื่อถือได้ และควรนำเส้นขนมจีนมานึ่งอีกครั้งก่อนจะนำมารับประทาน ผู้ปรุงประกอบอาหารทุกท่านต้องมีสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี สวมผ้ากันเปื้อนใส่หมวกคลุมผม เล็บสั้น ใช้ถุงมือหรือภาชนะอุปกรณ์ในการหยิบจับอาหาร หากมีบาดแผลต้องปิดพลาสเตอร์ให้มิดชิด
       
       "อาหารที่ปรุงประกอบเสร็จแล้ว หากยังไม่รับประทานทันที ควรใส่ในภาชนะที่สะอาด ปลอดภัย มีการปกปิด วางสูงจากพื้นอย่างน้อย 60 เซนติเมตร หากเก็บไว้นานเกิน 4 ชั่วโมง ควรนำมาอุ่นให้เดือดก่อนนำมารับประทาน ส่วนอาหารที่ไม่สามารถอุ่นได้ เช่น ยำ พล่า ควรปรุง ประกอบในปริมาณเท่าที่จะรับประทานเท่านั้น ไม่ควรทำทิ้งไว้นานๆ สิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ อาหารที่มีกะทิ นม และไข่เป็นส่วนประกอบ ไม่ควรทำไว้ล่วงหน้านานเกิน 4 ชั่วโมง เพราะจะทำให้อาหารบูดเสียได้ง่ายและควรเก็บรักษาในตู้เย็นหรือถังน้ำแข็งที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 5 องศาเซลเซียส หากพบมีลักษณะที่เปลี่ยนไป เช่น มีฟองอากาศ กลิ่นเหม็นบูด รสชาติเปรี้ยว ไม่ควรนำมารับประทาน ส่วนน้ำดื่มควรต้มสุกหรือดื่มน้ำที่บรรจุขวดที่ได้มาตรฐานน้ำบริโภค น้ำแข็งต้องเป็นน้ำแข็งที่ผลิตเพื่อการบริโภคและได้มาตรฐานรับรองเท่านั้น นอกจากนี้หากรับประทานอาหารร่วมกันควรใช้ช้อนกลางและก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องส้วมต้องล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดทุกครั้งเพื่อลดสื่อนำโรคติดต่อจากอาหารและน้ำ” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

 
ขอขอบคุณที่มา  http://www.manager.co.th/
 
 
.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X