ด้าน สธ. เตือนชาย-หญิงไทยที่เส้นรอบเอวเกิน 36 และ 32 นิ้ว เสี่ยงยมทูตขึ้นบัญชีลัดคิวจากโรคหัวใจวาย-เบาหวาน-มะเร็ง เตือนต้องควบคุมหรือลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกาย

นางนิตยา จันทร์เรือง มหาผล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้โรคอ้วนกำลังเป็นปัญหาที่ขยายลุกลามทั่วโลก และกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา โดยองค์การอนามัยโลกระบุว่า ขณะนี้มีผู้ใหญ่ทั่วโลก 300 ล้านคน กลายเป็นคนอ้วนเผละ และอีกกว่า 1,000 ล้านคน เข้าข่ายน้ำหนักเกิน หรือที่คนไทยเรียกว่า "เจ้าเนื้อ" นั่นเอง ซึ่งสาเหตุของความอ้วนเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ กินอาหารที่มีไขมันมาก รวมทั้งรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น อาหารรสหวานจัด และขาดการออกกำลังกาย

ในส่วนของประเทศไทย จากการสำรวจในช่วง 2 ปีมานี้ พบเด็กไทยทั่วประเทศร้อยละ 8 มีภาวะอ้วน โดยเด็กในเขตเมืองจะอ้วนมากกว่าเด็กในชนบทเกือบ 2 เท่า ส่วนผู้ใหญ่พบอ้วนร้อยละ 13 อย่างไรก็ดี ในคนไทยแต่ก่อนมักจะพูดเปรียบเปรยผู้ชายอ้วนเชิงค่านิยมว่า "หุ่นอาเสี่ย" หมายถึงเป็นคนมีอันจะกิน หากเป็นผู้หญิงก็ได้รับการยอมรับว่าลักษณะดี แต่ขณะนี้ความอ้วนได้กลายเป็นพิษที่มีอันตรายต่อสุขภาพมากมาย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และโรคนิ่วในถุงน้ำดี

นอกจากนี้ นักวิชาการต่างประเทศวิจัยพบว่า ความอ้วนทำให้อายุของประชาชนสั้นลง 8 ปี และ 80% ของคนอ้วนจะลงเอยด้วยโรคเบาหวาน และได้แนะวิธีสังเกตสัญญาณง่ายๆ ที่จะบอกว่าอ้วนหรือไม่นั้น ด้วยการวัดเส้นรอบเอวด้วยสายวัดธรรมดา โดยในต่างประเทศได้กำหนดเส้นรอบเอวไว้ คือ ผู้ชายไม่ควรเกิน 40 นิ้ว ผู้หญิงไม่ควรเกิน 30 นิ้ว ส่วนในประเทศไทยได้กำหนดเส้นรอบเอวผู้ชายไม่ควรเกิน 36 นิ้ว ส่วนผู้หญิงไม่ควรเกิน 32 นิ้ว

นางนิตยากล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ผลจากความอ้วนโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชาย ยังมีปัญหาในเรื่องของคุณภาพน้ำอสุจิด้วย มีโอกาสมีลูกยาก บางรายมีปัญหาเรื่องเพศสัมพันธ์ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ วงการแพทย์ได้ทำการวิจัยกลุ่มวัยรุ่นอายุ 19 ปี จำนวน 1,568 คน โดยการนับจำนวนอสุจิพบว่าผู้ที่อ้วนจะมีจำนวนอสุจิลดลง 22% และมีความเข้มข้นลดลง 24% ขณะที่ในกลุ่มผู้หญิงที่มีรูปร่างอ้วนเผละ ก็มักจะมีปัญหาประจำเดือนและการตกไข่ไม่ปกติจึงมีบุตรยาก ถึงแม้จะใช้บริการช่วยให้มีบุตรแล้วก็ตาม อีกทั้งในคนอ้วนที่สูบบุหรี่และดื่มสุราด้วย ก็จะทำให้จำนวนอสุจิลดลงและเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้

"ในการแก้ไขและป้องกันไม่ให้อ้วน หรือน้ำหนักเกินนั้น กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายส่งเสริมให้ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ออกกำลังกายให้ได้อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที การออกกำลังกายทำได้หลายอย่าง เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ รำไทเก๊ก ไม้พลองป้าบุญมี เต้นแอโรบิก หรือการเล่นกีฬา และในวันที่ 20 พ.ย.นี้ จะจัดงานรวมพลังสร้างสุขภาพพร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งเป้าจะให้คนไทย 33 ล้านคนทั่วประเทศ มาร่วมออกกำลังกายในวันดังกล่าวด้วย" นางนิตยากล่าว

ทั้งนี้ สำหรับผลดีของการออกกำลังกายก็คือ ทำให้หัวใจ ปอด ระบบหมุนเวียนโลหิต กล้ามเนื้อเอ็น เอ็นข้อต่อ กระดูก ผิวหนังแข็งแรง ช่วยลดความเครียด ทำให้นอนหลับดี ความจำดี และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ รวมถึงการชะลออายุ และป้องกันการปวดหลังได้ด้วย เพราะกล้ามเนื้อหลังแข็งแรงขึ้น

ที่มา  http://siamdara.com/