นักวิจัยชาวนอร์เวย์ ได้เผยผลการสำรวจในเรื่องการขาดงานช่วงตั้งครรภ์ของว่าที่คุณแม่ อันมีสาเหตุหลักมาจากความอ่อนเพลีย และอาการแพ้ท้อง โดยพบว่าเฉลี่ยแล้วกินเวลาราว 2 เดือน โดยมีคุณแม่ราว 75 เปอร์เซ็นต์ ที่ขอลาป่วยในช่วงดังกล่าว แต่นักวิจัยพบว่า การปรับรูปแบบการทำงานให้ยืดหยุ่นขึ้นสามารถช่วยลดการขาดงานของหญิงมีครรภ์ลงได้
       
       สำหรับงานวิจัยจาก the Stavanger University Hospital ประเทศนอร์เวย์ ชิ้นนี้ได้ทำการรวมรวมข้อมูลจากหญิงตั้งครรภ์จำนวน 3,000 ราย ซึ่งตอบแบบสอบถามในช่วงตั้งครรภ์สัปดาห์ที่ 17 และ 32 (ไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์) จากผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้หญิงตั้งครรภ์ยื่นใบลาป่วยในช่วงตั้งครรภ์นั้นมาจากความอ่อนเพลีย 35 เปอร์เซ็นต์ มาจากความเจ็บปวดที่เกิดในบริเวณอุ้งเชิงกราน 32 เปอร์เซ็นต์ และมาจากอาการคลื่นไส้อาเจียน 23 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่มีเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ ที่เผยว่า เกิดอาการซึมเศร้าจนทำให้ต้องขอลาป่วย
       
       นักวิจัยพบอีกด้วยว่า มีว่าที่คุณแม่ราว 60 เปอร์เซ็นต์ ที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของตนเอง ซึ่งผู้ที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานไปแล้วนี้มีการลาหยุดงานน้อยลงกว่าหญิงมีครรภ์ที่ยังคงทำงานแบบเดิม
       
       อย่างไรก็ดี นักวิจัยพบว่า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการลาป่วยนั้น มีค่อนข้างหลากหลาย ไม่จำเพาะเจาะจงว่าเกี่ยวกับการตั้งครรภ์แต่เพียงอย่างเดียว เพียงแต่สาเหตุหลักมาจากอาการที่เกิดในระหว่างตั้งครรภ์นั่นเอง อีกทั้งยังพบว่าหญิงมีครรภ์ที่รับผิดชอบงานหนัก หรือต้องใช้แรงกายนั้น มีโอกาสขอลาพักงานมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์
       
       ทั้งนี้ การวิจัยชิ้นต่อไปคือการมองหาแนวทางที่จะสามารถช่วยเหลือให้หญิงมีครรภ์ขาดงานให้น้อยลง เช่น การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้เหมาะสม หรือการหาแนวทางบำบัดอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับหญิงมีครรภ์นั่นเอง
       
       การศึกษาชิ้นนี้ได้รับการเผยแพร่ใน An International Journal of Obstetrics and Gynaecology

ที่มา  http://www.manager.co.th/