การหมกตัวอยู่แต่ในห้องเรียน หรือโรงเรียนกวดวิชา วันๆ ต้องอ่านหนังสือเล่มหนา ทำแบบฝึกหัดจำนวนมาก และเป็นเด็กที่มุ่งมั่นกับการเรียนนั้น อาจเป็นเรื่องที่ดีในสายตาพ่อแม่ ครูอาจารย์ และดูจะเป็นภาพที่พบเห็นได้มากในหมู่เด็กเอเชีย โดยเฉพาะเด็กในเมืองใหญ่ของจีน ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ ที่มีการแข่งขันด้านการเรียนดุเดือดมาก หารู้ไม่ว่า ค่านิยมดังกล่าวนั้นกำลังทำลายอวัยวะสำคัญอย่าง “ดวงตา” ของเด็กจนเสี่ยงตาบอดมากขึ้น หลังมีรายงานว่า สายตาของเด็กในประเทศชั้นนำด้านการศึกษาเหล่านี้มีปัญหามากขึ้น โดยพบว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์มีอาการสายตาสั้น และมีส่วนน้อย คือ ราว 10-20 เปอร์เซ็นต์ที่มีอาการสายตาสั้นมาก จนอาจตาบอดได้เลยทีเดียว
ศาสตราจารย์ Lan Morgan จาก the Australian National University ในเมือง Canberra ประเทศออสเตรเลียคือผู้ที่ออกมาชี้ว่า รูปแบบการเรียนอย่างหนักของเด็กๆ ชาวเอเชียที่ปรากฏอยู่ในหลายประเทศอาจเป็นตัวการที่ทำให้เด็กสายตาเสีย
ทั้งนี้ มีหลักฐานจากงานวิจัยจำนวนมากเสริมด้วยว่า การเกิดโรคสายตาสั้นนั้นอาจมีสาเหตุหลักมาจากสิ่งแวดล้อมมากกว่าปัญหาด้านพันธุกรรม เนื่องจากพบว่า มีความเชื่อมโยงของการเกิดสายตาสั้นในเด็กกับการอ่านหนังสือแบบใกล้ชิด และการเรียนอย่างหนัก
ที่สำคัญ ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกที่มีอัตราการเกิดโรคสายตาสั้นในเด็กสูงมากนั้น ก็ล้วนเป็นประเทศที่ติดอันดับด้านการศึกษาของโลกด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี จากการศึกษาของนักวิจัยจากออสเตรเลียซึ่งได้มีการทดสอบแล้วในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ชี้ว่า การใช้เวลาทำกิจกรรมนอกบ้านให้มากขึ้นอาจช่วงป้องกันเด็กจากโรคสายตาสั้นได้ กระนั้น พ่อแม่บางท่านก็อาจเข้าใจว่า การทำกิจกรรมกลางแจ้ง คือ การเล่นกีฬา แต่การศึกษาของ The Sydney Myopic ระบุว่า แท้จริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องเล่นกีฬาใดเป็นพิเศษ แค่ให้ดวงตามีโอกาสได้รับแสงจากธรรมชาติอย่างเหมาะสมบ้างเท่านั้น
นอกจากนี้ งานวิจัยดังกล่าวยังชี้ด้วยว่า แม้หน่วยงานภาครัฐ หรือผู้มีอำนาจสั่งการจะตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและหามาตรการป้องกันแก้ไขแล้วก็ตาม แต่ประเทศเหล่านั้นก็ยังต้องรับผลกรรมนี้ต่อเนื่องยาวนานไปอีกราว 100 ปีทีเดียว เนื่องจากประเทศเหล่านี้จะมีประชากรเด็กที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสายตาสั้นอยู่ในประเทศจำนวนมากนั่นเอง
เรียบเรียงจากเดลิเมล และ Weird Asia News
ที่มา http://www.manager.co.th/