ผู้กำกับ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ พูดถึงที่มาและเบื้องหลัง The Master
2014-11-27 23:39:05
Advertisement
คลิก!!!

The Master ผลงานเรื่องที่ 3 ของผู้กำกับเต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ เข้าฉายแล้ววันนี้ที่โรงหนังเฮาส์ RCA ครับ และเราได้สัมภาษณ์กับผู้กำกับนิดหน่อยทางอีเมล เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณารับชมหนังสารคดีที่ถือเป็นบันทึกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของวงการหนังของบ้านเรา เรื่องราวของร้านวิดีโอเถื่อนผิดกฎหมาย ที่เรารู้จักกันในชื่อ “ร้านพี่แว่น” หรือ “ร้านพี่คนนั้น” ที่ก๊อปหนังหาดูยาก หรือหนังศิลปะ จากทั่วโลกมาขาย และให้นักดูหนังเมื่อ 20 ปีก่อนได้ศึกษา และได้เสพ จนบางคนเติบโตมากลายเป็นผู้กำกับดังในวันนี้ รวมถึงตัวผู้กำกับนวพลเองด้วย

เราได้คุยกับนวพลทั้งเรื่องที่มา แรงบันดาลใจ ว่าทำไมเขาอยากทำหนังเรื่องนี้ เบื้องหลังการทำงานว่าเริ่มต้นยังไงในการสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมา วิธีการเล่าเรื่อง และเกร็ดเกี่ยวกับหนัง เช่นชื่อเรื่อง กับ ตัวอย่างหนัง แบบพอสังเขปครับ ซึ่งน่าจะช่วยให้ผู้อ่านเว็บของเราได้มีข้อมูลมากขึ้นก่อนไปรับชม

คลิกอ่านด้านใน

(ที่มาของรูป Facebook/ternawapol )

 

1. มีแนวคิดว่าอยากทำหนังเกี่ยวกับร้านวิดีโอพี่แว่นมานานหรือยังครับ แล้วอะไรจุดประกายให้อยากทำหนังเกี่ยวกับร้านนี้เป็นหนังสารคดีครับ

นานมากๆ แต่ตอนแรกอยากแค่สัมภาษณ์ลงนิตยสารคณะ (สมัยเรียนมหาลัย) ที่อยากสัมภาษณ์พี่เขามากเพราะรู้สึกว่าชีวิต ม.ปลาย ของตัวเอง 3-4 ปี หมดไปกับร้านนี้ ซึ่งน่าจะเป็นเทิร์นสำคัญในชีวิต เพราะได้ดูร้านพี่แว่นเลยเห็นทางในการสร้างหนังแบบใหม่ๆ แบบเล็กๆ ที่ไม่เหมือนฮอลลีวูดครับ // ส่วนในแง่ส่วนรวม คือ คิดว่าพี่เขาสำคัญกับประวัติศาสตร์การดูหนังของคนไทย แต่เรื่องของพี่เขาไม่เคยถูกบันทึกไว้ เลยอยากทำครับ // ไม่เคยคิดว่าจะทำเป็น fiction เลยครับ คิดว่าต้องทำเป็นหนังสารคดี

2. เมื่อรู้ตัวว่าอยากเอาเรื่องราวของร้านพี่แว่นมาเล่าเป็นหนังแล้ว ก่อนถ่ายทำ มีการวางบทคร่าวๆ ไว้ก่อนไหมครับว่า ต้องการเล่าประเด็นไหนบ้าง จะเรียงลำดับประเด็นยังไง เพื่อให้ตรงจุดประสงค์ที่อยากนำเสนอ หรือใช้วิธีไปพูดคุยกับผู้ที่เป็นประเด็นของเรื่องก่อน หรือคุยกับผู้คนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นของเรื่องก่อน เพื่อให้ได้แนวคิดว่าจะนำเสนอประเด็นไหนดี จะวางโครงสร้างของหนังยังไงดี พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมครับ

มีโน้ตประเด็นต่างๆที่สนใจไว้ กับ คำถามชุดนึงครับ ที่เหลือก็ไปคุยกับแต่ละคนเอา แต่อีกอย่างคือ ลองวางโครงคร่าวๆคล้ายๆโครงสร้างบทหนัง เพราะอยากเล่าให้ออกมาคล้ายหนังทั่วๆไปมากที่สุด เพราะอยากให้คนนอกที่ไม่เคยรู้จักพี่แว่นเลย สามารถดูและตามเรื่องไปได้ด้วยครับ

จริงๆมีประเด็นจากร้านนี้เยอะมากๆ ตั้งแต่เล็กๆจนใหญ่มาก แต่สุดท้ายก็เลือกตามความสนใจของเรา เพราะหนังไม่สามารถบรรจุทุกประเด็นได้ครับ ต้องตัดใจทิ้งไปหลายอัน

3. ทราบมาว่ามีการสัมภาษณ์บุคคลในแวดวงภาพยนตร์ถึง 20 ท่านด้วยกัน ทั้งคนทำหนังและนักวิจารณ์ คุณนวพลมีวิธีเลือกทั้ง 20 ท่านนี้มายังไงครับ ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ว่าทั้ง 20 ท่าน น่าจะเหมาะเป็นผู้ช่วยเล่าเรื่องราวในประเด็นที่อยากนำเสนอ

จริงๆ เลือกจากคนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ หรือว่าซื้อเยอะ หรือว่าใกล้ชิดกับพี่เขามากๆครับ แค่นั้นเลย

4. ดูจากตัวอย่างสุดท้ายแล้ว เห็นว่าใช้วิธีการตั้งกล้องสัมภาษณ์ในสตูดิโอ คิดว่าทำไมวิธีการนี้น่าจะเหมาะในการช่วยเล่าเรื่องหนังเรื่องนี้ครับ มีการใช้วิธีอื่นบ้างหรือไหมครับ

อยากให้หนังมันค่อนข้าง cinematic มากที่สุด ไม่อยากให้เป็นเหมือนรายการทีวี เพราะรู้เลยว่าต้องเป็นหนังแนว talking head เลยพยายามหาทางทำยังไงก็ได้ให้การคุยเหล่านี้ออกมาสนุกที่สุด // ส่วนตัวรู้สึกว่าเวลาซับเจคท์มองกล้องตรงมา จะรู้สึกว่ามันเป็นหนังมากๆครับ

5. เมื่อถ่ายทำการสัมภาษณ์ไปแล้ว พบว่ามีประเด็นไหนนอกเหนือจากที่เราตั้งใจจะเล่าแต่ทีแรก แล้วพบว่ามันน่าสนใจจนน่าจะเอามาใส่ไว้ในหนัง ที่เหมือนกับเวลาเราถ่ายทำหนังปกติแล้วเกิดมีความคิดอะไรขึ้นมาใหม่จนต้องเขียนเพิ่มเข้าไปในบทไหมครับ

ก็มีเยอะครับ เป็นชุดข้อมูลที่เราไม่เคยรู้มาก่อน หรือเป็นมุมมองที่เราคิดไม่ถึง ส่วนใหญ่ที่ชอบคือจะเป็นเหตุการณ์ๆลึกๆลับๆ ที่พิเศษ หมายถึงว่า จะต้องเป็นคนที่ใกล้ชิดกับพี่แว่นหรือคุ้นเคยกับพี่แว่นเท่านั้นที่จะรู้อันนี้ หรือ เคยเจอเหตุการณ์นี้ครับ

6. หนังเหมือนจะเล่าเรื่องราวของร้านพี่แว่น ผ่านมุมมองของผู้ถูกสัมภาษณ์ทั้ง 20 ท่าน แล้วในมุมมองของผู้กำกับ มีความรู้สึกยังไง มีความประทับใจอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับร้านนี้ครับ

มันเหมือนกับเราเจอร้านอาหารอร่อยมากและไม่แพง แถมมีของหลากหลาย อัพเดทรายอาทิตย์ มันมีความสุขมากฮะ สำหรับเด็กม.ปลายคนนึงในเวลานั้น ที่ไม่ได้มีตังค์เยอะอะไรมาก และชอบดูหนัง

7. ชื่อหนัง The Master มีที่มายังไงครับ ทำไมถึงเลือกใช้ชื่อนี้สำหรับหนังเรื่องนี้

มาจากคำว่า ม้วนมาสเตอร์ (ม้วนแท้ ม้วนชัด ซึ่งวิดีโอร้านพี่แว่นในยุคนั้นเราก็เรียกว่าคุณภาพแบบมาสเตอร์) แล้วบนวิดีโอร้านพี่แว่นชอบมีเขียนคำว่า master ด้วย แล้วส่วนตัวรู้สึกว่า master ก็แปลว่าครูด้วย คือ คนเปิดโลก เปิดวิชาให้ เลยรู้สึกว่าคำนี้ลงตัวหมด

8. ชอบตัวอย่างสองตัวแรกของหนังมากครับที่เอาองค์ประกอบของ The Social Network กับ Inception มาใช้ เหมือนเป็น parody หน่อยๆ แนวคิดนี้มีที่มายังไงครับ

จริงๆอยากบอกมู้ดหนังว่ามันไม่ได้เครียด มันสนุกๆ มันๆ กวนตีนๆหน่อยอะไรแบบนี้ครับ แล้วอยากเล่นคอนเซปต์เรื่องก๊อปด้วย เลยเอาเพลงเขามาเล่นเลย 555 /// แต่จริงๆอย่าง social network เรารู้สึกว่า มันมีอะไรคล้ายๆกันอยู่บ้าง ในเชิงรูปแบบการดำเนินเรื่อง คืออย่าง social หนังมันคุยกันเยอะมาก แต่เราก็ยังสนุก เลยจะบอกคนดูว่ามันคล้ายๆกันนะ (แต่ของเราอาจจะไม่ดีเท่าเขานะ 55)

9. มีอะไรให้คนดูหนังได้ติดตามกันต่อหลังจาก The Master อีกไหมครับ ที่พอจะเล่าได้ และคิดว่าน่าจะได้ดูกันเมื่อไหร่ครับ

กำลังพัฒนาโปรเจคท์กำกับกับทาง GTH ครับ

10. มีอะไรที่อยากบอกคนดูหนังบ้างครับ เกี่ยวกับ The Master

ไม่มีอะไรมากครับ อยากให้มาลองดู ไม่รู้จักพี่แว่นก็ดูได้ เทสต์แล้ว 555 ถ้าดูแล้วไม่สนุก ช่วยโกหกเพื่อนคุณให้ด้วยว่า สนุก / จบ. 555

 

cr. http://jediyuth.com

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X