เมื่อเวลา 17.30 น.วันที่ 6 ก.ค.58 ตำรวจสถานีตำรวจภูธรคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี  รับแจ้งเกิดอุบัตติเหตุบริเวณถนนสายสุราษฎร์-ตะกั่วป่า หลัก กม.ที่ 41 ต.ย่านยาว อ.คีรีรัฐนิคม จึงแจ้งผู้บังคับบัญชา ทราบพร้อมออกตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ชีพกู้ภัยมูลนิธิกุศลศรัทธาสุราษฎร์ธานีแพทย์เวร รพ.คีรีรัฐนิคม และชุดตัดถ่างจากศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่ 11 สุราษฎร์ธานี

ที่เกิดเหตุเป็นถนน 4 ช่องจราจรทั้งนี้ตรงช่องจราจรฝั่งขาเข้าตัวเมืองสุราษฎร์ธานีพบรถตู้ยี่ห้อโตโยต้ารุ่นคอมมูเตอร์ สีขาวป้ายทะเบียน ฮร 8721 กรุงเทพมหานครชนในลักษณะประสานงานกับเป็นรถกระบะ ดีแม็ค4ประตูทะเบียน กง 610 ชุมพร ทำให้สภาพรถด้านหน้าพังยับเยินและทำให้มีผู้เสียชีวิตติดอยู่ภายในรถ 3 รายและและบาดเจ็บสาหัสอีก 5 ราย เจ้าหน้าที่จึงใช้เครื่องตัดถ่างเข้าให้การช่วยเหลือ ท่ามกลางพายุฝนที่ตกหนัก โดยเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาร่วม 1 ชั่วโมง จึงสามารถนำผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตออกมาได้ก่อนนำส่งโรงพยาบาลคีรีรัฐนิคมเพื่อให้การช่วยเหลือ แต่มีผู้บาดเจ็บ 2 ราย ไม่สามารถทนพิษบาดแผลได้เสียชีวิตอีก 2 รายรวมเสียชีวิต 5 ราย

ทราบชื่อเบื้องต้นผู้เสียชีวิตคือ น.อ.สาทิพ จินตนาวส (รน) ฝสธ.รองเสธ.ทร,น.อ.สกนธ์ ชัยวนนท์. (ร.น.) ฝสธ.รองเสธ.กองทัพไทย, พ.จ.อ.รณภพ จันทร์ประเสริฐ พลขับฯ ,จ.อ.โสภณ ศรีพันลม และ จ.อ.ภราดร หนุนภักดี ประจำกองบัญชาการกองทัพไทย ส่วนอีกรายมากับรถกระบะทราบชื่อ นายอดิศักดิ์ ขุนทองจันทร์ อายุ 18 ปี บาดเจ็บ

 
สอบสวนเบื้องต้นทรายว่า คณะของนายทหาร สังกัดกองทัพไทย นำโดย  พล.ร.อ. ธนะรัตน์  อุบล (ร.น.)  รองเสนาธิการกองทัพไทย ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยม และติดตามการปฎิบัติงานของหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 46 ต.วัดประดู่ อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี โดยหลังเสร็จสิ้นภารกิจตรวจเยี่ยมหน่วย ได้เดินทางไปเยี่ยมชมเขื่อนรัชชประภา อ.บ้านตาขุน  โดยรถยนต์ตู้ในคณะจำนวน 3 คัน ขณะเกิดเหตุทั้งคณะกำลังเดินทาง มุ่งหน้า ตัวเมืองสุราษฎร์ธานี โดยคันเกิดเหตุขับเป็นคันที่ 2 ถึงที่เกิดเหตุซึ่งได้เกิดฝนตกหนัก ปรากฏว่าจู่ ๆ ได้มีรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ แบบ 4 ประตู ซึ่งวิ่งสวนทางกันเสียหลักข้ามเกาะกลางพุงชนอย่างจัง จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตดังกล่าว ส่วนนายอดิศักดิ์ ขุนทองจันทร์ ผู้บาดเจ็บอ้างว่าไม่ได้เป็นผู้ขับรถยนต์กระบะ  อย่างไรก็ตามพนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวนายอดิศักดิ์ ไว้เพื่อสอบสวนปากคำ และสืบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป

ขอขอบคุณที่มา  ข่าวสดออนไลน์