Mad Max: Fury Road (1)
2015-05-17 20:08:55
Advertisement
คลิก!!!

ด้วยฝีมือของผู้กำกับ จอร์จ มิลเลอร์ ผู้ให้กำเนิดหนังยุคหลังวันสิ้นโลกและผู้สร้างสรรค์แฟรนไชส์ในตำนานอย่าง "Mad Max" เกิดเป็น "Mad Max: Fury Road" การกลับมาของนักรบแห่งท้องถนน "แมด" แม็กซ์ ร็อคคาแทนสกี ผู้ถูกหลอกหลอนด้วยอดีตอันสับสนปั่นป่วน เชื่อว่าหนทางที่ดีที่สุดในการอยู่รอดก็คือการท่องโลกไปตามลำพัง ทว่าเขากลับต้องเดินทางไปกับคนกลุ่มหนึ่งซึ่งตระเวนไปทั่วเวสต์แลนด์ในรถวอร์ริกที่ขับโดย อิมเพอเรเตอร์ ฟูริโอซา คนกลุ่มนี้หลบหนีออกจากซิตาเดลซึ่งปกครองโดยจอมเผด็จการ อิมมอร์แทน โจ ผู้ถูกฉกฉวยเอาสิ่งที่ไม่อาจหามาทดแทนได้ ด้วยความโกรธแค้น ขุนศึกรายนี้จึงนำแก็งค์ของตนออกติดตามพวกกบฏอย่างโหดเหี้ยมในสงครามอ็อกเทนสูงบนท้องถนน

    ทอม ฮาร์ดี (The Dark Knight Rises) รับบทเป็นตัวละครตามชื่อเรื่องใน "Mad Max: Fury Road" อันเป็นภาคที่สี่ของแฟรนไชส์นี้ นักแสดงผู้ชนะรางวัลออสการ์ ชาร์ลิซ เธรอน (Monster,Prometheus) รับบทเป็นอิมเพอเรเตอร์ ฟูริโอซา นอกจากนี้ยังมีดาราอย่างนิโคลาส โฮลต์ (X-Men: Days of Future Past) รับบทเป็น นักซ์, ฮิวจ์ คียส์-เบิร์น (Mad Max,Sleeping Beauty) รับบทเป็น อิมมอร์แทน โจ, จอช เฮลแมน (X-Men: Days of Future Past) รับบทเป็น ซิลต์, นาธาน โจนส์ (Conan the Barbarian”) รับบทเป็น ริกตัส อีเร็กตัส, กลุ่มภรรยา เดอะ ไวฟ์ ได้แก่ โรซี ฮันทิงตัน-ไวต์ลีย์ (Transformers: Dark of the Moon) รับบทเป็น เดอะ สเปลนดิด อังฮารัด, ไรลีย์ คีโอ (Magic Mike) เป็น แคปเปเบิล, โซอี คราวิตซ์ (Divergent) รับบทเป็น โทสต์ เดอะ โนว์อิง, แอบบี ลี เป็น เดอะ แด็ก และคอร์ตนีย์ อีตัน เป็น ชีโด เดอะ ฟราไจล์ 

  ใน Mad Max: Fury Road ผู้กำกับ/นักเขียน/ผู้อำนวยการสร้าง จอร์จ มิลเลอร์ ได้ปลดปล่อยโลกอันบ้าคลั่งด้วยแรงสั่นสะเทือนของสงครามอ็อคเทนสูงบนท้องถนนซึ่งมีแต่เขาเท่านั้นที่จะถ่ายทอดออกมาได้ มันสมองที่อยู่เบื้องหลังไตรภาค "Mad Max" อันทรงอิทธิพล ได้ผลักดันขอบเขตของภาพยนตร์ร่วมสมัยในการจินตนาการถึงความงามและความสับสนวุ่งวายของโลกยุคหลังวันสิ้นโลกซึ่งเขาได้สร้างขึ้นและนักรบบนท้องถนนในตำนานที่ร่อนเร่ไปในโลกใบนั้น 

    มิลเลอร์มักนึกภาพหนังที่ถ่ายทอดการไล่ล่าจนลืมหายใจตั้งแต่ต้นจนจบ "ผมมองว่าหนังแอ็คชันก็เหมือนดนตรีที่ออกมาเป็นภาพ และ "Fury Road" ก็อยู่ระหว่างคอนเสิร์ตร็อคสุดมันกับโอเปรา" มิลเลอร์ให้ความเห็น "ผมอยากนำผู้ชมออกจากที่นั่งไปสู่การเดินทางที่เข้มข้นสุดเหวี่ยง และระหว่างทางคุณก็จะได้รู้จักตัวละครและเหตุการณ์ที่นำไปสู่เรื่องราวนี้ด้วย"

    สำหรับมิลเลอร์ หนทางย้อนกลับไปไกลกว่านั้น ช่วงปลายทศวรรษ 1970 เขาเพิ่งจบจากโรงเรียนการแพทย์ และด้วยความรักที่มีต่อหนังแอ็คชั่นไล่ล่ายุคแรกๆ เขาจึงตั้งใจที่จะค้นหาภาษาภาพที่แท้จริงของหนังประเภทนี้ด้วยตนเอง ด้วยอาศัยประสบการณ์จากการเป็นหมอในห้องฉุกเฉิน เขาจึงจินตนาการเรื่องราวของตัวละครผู้โดดเดี่ยวในโลกที่โล่งร้างหลังจากสังคมล่มสลายและถูกคุกคามด้วยแก็งค์ซิ่งโรคจิตตามท้องถนน 

    มิลเลอร์ระบุว่า "ผมสนใจมาตลอดว่าสังคมต่างๆ มีวิวัฒนาการกันมาอย่างไร ซึ่งบางครั้งก็สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ และบางครั้งก็ชวนให้หดหู่ เมื่อคุณเปลื้องความซับซ้อนของโลกสมัยใหม่ออกไป คุณก็จะได้เข้าไปสู่โลกที่ไร้การปรุงแต่ง แล้วบอกเล่าเรื่องราวเปรียบเปรยขั้นพื้นฐานออกมา"

    ด้วยงบประมาณอันน้อยนิด มิลเลอร์ได้รวบรวมขบวนรถมอเตอร์ไซค์และรถมัสเซิลคาร์ คัดเลือกนักแสดงที่ไม่มีใครรู้จักอย่าง เมล กิ๊บสัน ซึ่งเพิ่งจบจากโรงเรียนการละคร และออกตระเวนไปตามถนนหลวงอันเวิ้งว้างชานเมืองเมลเบิร์นของออสเตรเลีย เพื่อถ่ายทอดพลังอันดิบเถื่อนของจากฉากสตันท์แห่งความพินาศโดยให้คนขับยานพาหนะจริงที่ความเร็วจริง

    "ที่ออสเตรเลียเรามีวัฒนธรรมเรื่องรถที่มองว่ารถก็เหมือนกับอาวุธ" มือเขียนบท นิโค ลาธูริส กล่าว เขาเป็นเพื่อนของมิลเลอร์ตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนและเล่นเป็นกรีสแร็ตในหนังภาคแรก "จอร์จเคยรักษาเด็กหนุ่มๆ จากอุบัติเหตุรถชนที่รุนแรง และแทนที่จะถือเป็นเรื่องจริงจัง คนเหล่านี้กลับมีแนวโน้มที่จะคุยโม้เรื่องประสบการณ์ที่มีคนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต ในฐานะหมอ เขารู้สึกว่าเขากำลังแปะพลาสเตอร์ลงบนปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นมาก และเรื่องนี้ก็เป็นวิธีการของเขาที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของปัญหานี้"

    ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ "Mad Max" ซึ่งระเบิดความมันบนจอภาพยนตร์ในปี 1979 และสร้างแรงสั่นสะเทือนทางวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นไปทั่ว เมื่อตำนาน "Mad Max" เติบโตขึ้น มิลเลอร์ก็ได้ยกระดับเอกลักษณ์อันไม่เหมือนใครในแง่แอ็คชั่นที่มีแรงขับเคลื่อนและการสร้างโลกอันน่าหลงใหลด้วยหนังอีกสองภาคที่ตามมา ซึ่งก็คือผลงานอันทรงอิทธิพลอย่าง "Mad Max 2: The Road Warrior" และผลงานสุดอลังการอย่าง "Mad Max: Beyond Thunderdome" 

    "แนวคิดหนึ่งที่ขับเคลื่อน "Mad Max" ภาคแรก รวมถึง "Fury Road" ก็คือแนวคิดของอัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ว่าด้วยการทำหนังที่สามารถดูที่ไหนก็ได้ในโลกโดยไม่ต้องมีซับไทเทิล" มิลเลอร์อธิบาย "คุณพยายามบรรลุเป้าหมายเช่นเดียวกับผลงานดนตรีชั้นเยี่ยม นั่นคือไม่ว่าคุณจะอยู่ในอารมณ์ไหน มันจะช่วยนำคุณออกจากตัวเองไปยังอีกที่หนึ่ง และคุณจะได้ไปโผล่ที่อีกฟากพร้อมประสบการณ์ที่ได้สัมผัสมา นั่นคือสิ่งที่เราพยายามทำในหนังเหล่านี้"

    ภูมิทัศน์อันแห้งแล้งผุกร่อน แอ็คชั่นดิบเถื่อน บทพูดน้อยคำ และตัวละครที่มีสีสันหลากหลายซึ่งมิลเลอร์สร้างขึ้นในไตรภาค "Mad Max" ได้ให้กำเนิดหนังแนวใหม่ขึ้นมา และเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินหลายรุ่นในสื่อทุกแขนง ทอม ฮาร์ดี ผู้รับบทเป็นแม็กซ์ ร็อคคาแทนสกี ใน "Mad Max: Fury Road" กล่าวว่า "จอร์จสร้างบรรยากาศยุคหลังวันสิ้นโลกอย่างที่ปัจจุบันเราเห็นอยู่ตามวิดีโอเกมและหนังมากมาย นั่นเป็นผืนผ้าใบของเขา และเขาก็ยังคงวาดรูปอยู่บนนั้นด้วยทรัพยากรทั้งหมดที่เขามีพร้อมใช้งาน การได้เล่นหนังเรื่องนี้ก็คือการนั่งอยู่กับจอร์จที่กล่องของเล่นของเขา และจินตนาการของเขาก็บรรเจิดมากจนกระทั่งคุณรู้สึกว่าคุณไม่ได้อยู่ในหนัง แต่อยู่ในหัวของจอร์จเลย"

    ชาร์ลิซ เธอรอน ซึ่งได้สร้างตัวละครใหม่ของแฟรนไชส์นี้ขึ้นมาในบท อิมเพอเรเตอร์ ฟูริโอซา ยืนยันว่าในหนังเรื่องนี้ มิลเลอร์ได้หล่อหลอมวิสัยทัศน์ใหม่ซึ่งตั้งตระหง่านแม้อยู่ท่ามกลางผลงานมากมายซึ่งเป็นมรดกของภาพยนตร์เรื่องนี้ "จอร์จได้จินตนาการโลกที่เขารักขึ้นมาใหม่อีกครั้งในหนังเรื่องนี้ ทุกคนสามารถเข้าไปในโลกใบนี้และสัมผัสสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจ มีส่วนดีๆ ให้คนที่รักหนังเรื่องนี้ได้ค้นหา ขณะเดียวกันฉันคิดว่าเขาก็ได้สร้างสิ่งที่ตรงใจคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เติบโตมากับ "Mad Max" ด้วย นั่นล่ะค่ะคือความงดงามของ Fury Road" 

    นิโคลาส โฮลต์ ผู้รับบทเป็นนักซ์ หนึ่งในกลุ่มวอร์บอย และนับตัวเองว่าอยู่ในคนรุ่นนั้นด้วย กล่าวว่า "สิ่งที่น่าทึ่งในตัวจอร์จคือเขาสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ก็ยังมีความใกล้ชิดคุ้นเคยอยู่ด้วย" เขากล่าว "มีความคิดมากมายที่ใส่ลงไปในชิ้นส่วนเล็กๆ แต่ละชิ้นของตำนานทั้งหมดนี้ จนถึงขั้นที่ว่ารายละเอียดที่เล็กที่สุดก็ยังบ่งบอกทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับตัวละครและสภาพแวดล้อมรอบตัวละคร"

    ภารกิจในการนำผู้ชมยุคปัจจุบันเข้าสู่โลกอนาคตอันบ้าคลั่งใน "Mad Max: Fury Road" ต้องอาศัยการเดินทางข้ามทวีปและใช้เวลานานกว่าทศวรรษ ภารกิจนี้ได้ผลักดันให้ศิลปินผู้มีความสามารถนับร้อยๆ รายออกแบบและสร้างสรรค์โลกในยุคหลังวันสิ้นโลกอันสมจริงขึ้นผ่านการวาดสตอรีบอร์ด 3,500 แผ่นไปจนถึงของประกอบฉากและเครื่องแต่งกายนับพันๆชิ้น ในการจัดการเชิงลอจิสติกส์ขนาดใหญ่อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทีมผลิตภาพยนตร์จะต้องนำนักแสดง ทีมงาน และยานพาหนะที่สร้างด้วยมือและใช้ขับได้จริง 150 คัน ตระเวนไปทั่วทะเลทรายในนามิเบียเพื่อถ่ายทอดสงครามบนท้องถนนของจริงผ่านกองถ่ายหลายกองตลอดเวลา 120 วัน

    ความเป็นไปได้ของสิ่งที่เป็นจริงช่วยขับเคลื่อนตำนาน "Mad Max" และมิลเลอร์รวมทั้งทีมผู้ร่วมงานก็ได้ผลักดันการสร้างหนังไปจนสุดขีดจำกัดเพื่อยกมาตรฐานขึ้นไปอีก "โลกของ "Mad Max" ยกระดับขึ้น แต่มันไม่ใช่โลกแฟนตาซี" มิลเลอร์อธิบาย "Fury Road" เป็นโอกาสที่จะได้สร้างโลกนี้ให้กว้างใหญ่และมีพลังเต็มที่มากขึ้นด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เราสามารถนำกล้องไปไว้ในที่ที่แต่ก่อนนี้ไม่สามารถทำได้ และให้กล้องตามติดไปกับกองรบได้ด้วยระบบ Edge Arm ถ้ามีการต่อสู้บนยานพาหนะ เราก็สามารถให้นักแสดงห้อยลวดสลิงได้จากนั้นค่อยไปลบออกในขั้นตอนซีจี เวลาคุณเห็นแม็กซ์แขวนตัวกลับหัวอยู่ระหว่างรถสองคัน นั่นเป็นทอม ฮาร์ดีเล่นจริงๆ เวลาที่ฟูริโอซาเกาะทอมไว้ ก็เป็นชาร์ลิซ เธอรอน ที่เกาะทอมอยู่ และเมื่อคุณเห็นนักซ์ปีนออกมายังด้านหน้ารถ ก็เป็นนิโคลาส โฮลต์จริงๆ"

    "ถ้าคุณคิดว่าฉากแอ็คชั่นมันสุดขอบเกินไป หรือการระเบิดมันอลังการเกินจริง ผมสัญญากับคุณได้เลยว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ... ผมได้เห็นเอง" ฮาร์ดียืนยัน "มันเป็นงานแอ็คชั่นตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ มันบ้าคลั่งและยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการ และเป็นสิ่งที่จอร์จสร้างสรรค์ขึ้นมาทั้งหมดเลยครับ"

    สำหรับชายผู้เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งเหล่านี้ มีบางอย่างที่ไม่เคยเปลี่ยน "การนำรถมาชนกันในทะเลทรายให้ความตื่นเต้นเร้าใจอย่างน่าประหลาดครับ คุณจะลืมตัวเองไปและทำงานตามสัญชาตญาณและความรู้สึกภายในซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่บ้าคลั่งนะ" มิลเลอร์ยิ้ม "แต่เรานำคำเก่ามาพูดใหม่ได้ว่ า"คุณไม่ต้องเป็นคนบ้าหรอกถึงจะทำ"Mad Max"ได้ แต่มันก็มีส่วนช่วยเหมือนกัน"

 

 

 

 

 

http://www.siamdara.com

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X