เกิดเหตุระเบิดในพื้นที่ อ.รามัน จ.ยะลา กลางดึกที่ผ่านมา จนท.สอบพบชิ้นส่วนมนุษย์กระจาย และหลุมขนานใหญ่ คาดเป็นฝีมือคนร้าย ไม่ต่ำกว่า 3 คน เตรียมลอบบึมเจ้าหน้าที่ แต่พลาด ระเบิดทำงานก่อน เร่งสอบขยายผล ...

เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ

เมื่อเวลา 00.15 น. วันที่ 21 เม.ย. 58 พ.ต.อ.ลุกมาน บาเกาะ ผกก.สภ.รามัน จ.ยะลา รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดริมถนนบริเวณโค้งแม่ชี บ้านพงจือนือเระ หมู่ 3 ต.กายูบอเกาะ จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ต่อมา พล.ต.ต.ทนงศักดิ์ วังสุภา ผบก.ภ.จ.ยะลา พ.ต.อ.นรินทร์ บูสะมัญ รอง ผบก. พ.ต.ท.ชาญวุฒิ รักษาพราหมณ์ รอง ผกก.ป. พ.จ.ท.อนันต์ บุญสำราญ นายอำเภอรามัน สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร และฝ่ายปกครองรุดไปตรวจสอบ 

ที่เกิดเหตุอยู่ริมทางหลวงสาย 4066 (โกตาบารู-รามัน) ระหว่างหลัก กม.31-32 พบว่าตรงจุดเกิดเหตุเป็นหลุมลึกกว้าง 1.25 x 2 เมตรเศษ ห่างจากเสาทวนสัญญาณโทรศัพท์ดีแทคราว 30 เมตร เจ้าหน้าที่ตำรวจพบเศษเสื้อผ้าสีเขียวกางเกงวอร์มดำและน้ำเงินไม่ต่ำกว่า 3 ชุด มีเศษชิ้นเนื้อมนุษย์เปรอะคราบเลือดติดอยู่ นอกจากนั้นยังพบเศษมันสมอง ชิ้นเนื้อ กระจุกผมกระจัดกระจายเป็นวงกว้าง พบเอกสารเป็นบัตรประจำตัวประชาชนของนายกอมารูซซะมาน เด็งสาแม อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15 หมู่ 3 ต.บือมัง อ.รามัน จ.ยะลา โน้ตภาษายาวี โพยหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ใบอนุญาตให้รถจักรยานยนต์ผ่านเข้าออกสถานที่ราชการ ทะเบียน น 7649 นราธิวาส ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเศษเหล็กภาชนะบรรจุดินระเบิด จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน ส่วนเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถืออย่างอื่นไม่มีส่วนใดเสียหาย

เศษชิ้นส่วนมนุษย์กระจายไปทั่วบริเวณ

จากการสอบสวนเบื้องต้นปรากฏว่า ขณะเกิดเหตุไม่มีผู้ใดเห็นเหตุการณ์ จู่ๆ ได้เกิดระเบิดดังขึ้นอย่างกึกก้อง เสียงดังสนั่นไปไกลถึงตลาดรามัน ทำให้ประชาชน และคนไข้ในโรงพยาบาลรามันที่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุราว 1 กม.เศษตกใจ ต่อมาเจ้าหน้าที่ อส.อ.รามัน เข้าตรวจสอบพบเกิดเหตุระเบิดจึงได้รายงานประสานทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งคาดว่าเหตุระเบิดเกิดจากแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบ ที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ แอบนำระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 10 กก. เตรียมมาก่อเหตุเพื่อสร้างสถานการณ์ แต่บังเอิญระเบิดเกิดทำงานขึ้นก่อน จนเป็นเหตุให้ตัวเองกับพวกเสียชีวิต ซึ่งคาดว่าจำนวนไม่ต่ำกว่า 3 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนติดตามคนร้ายตามหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุต่อไป

ขอขอบคุณที่มา  ไทยรัฐออนไลน์