|
เหตุการณ์เรือเฟอร์รี่ "เซวอล" อับปางในทะเลทางใต้ของเกาหลีใต้ ที่เวียนมาบรรจบครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 16 เม.ย. ยังคงตามหลอกหลอนบรรดาครอบครัวผู้สูญเสีย และทางการเกาหลีใต้
จากตัวเลขยอดผู้เสียชีวิตถึง 304 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็กนักเรียนถึง 250 ราย จนบัดนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่พบศพอีก 9 ราย ได้รับขนานนามว่า เป็นโศกนาฏกรรมทางเรือ ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ
จึงไม่น่าแปลกใจที่งานรำลึกเหตุในปีนี้ จะเต็มไปด้วย "ความโศกเศร้า" และ "ความโกรธแค้น" ของญาติมิตรเหยื่อ ผู้เสียชีวิต ที่บางส่วนยังคงกล่าวหารัฐบาลถึงความไม่ไยดีต่อเหตุดังกล่าว
แม้ว่าสาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากมาจากความผิดพลาดส่วนบุคคลที่ลูกเรือในตอนนั้นสั่งให้เหล่าผู้โดยสารนักเรียนประจำอยู่กับที่ในห้องโดยสาร แทนที่จะทยอยขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้า เพื่อสะดวกในการลำเลียงออกจากเรือ ก่อนที่เรือจะพลิกคว่ำจมทะเล
ขณะที่กัปตันเรือและลูกเรือรายอื่นๆ รวม 14 คน หนีเอาตัวรอด จนถูกตัดสินรับโทษในเวลาต่อมา
แต่คนส่วนใหญ่พบว่าปัญหาที่แท้จริงของโศกนาฏกรรมไม่ใช่เพียงเพราะตัวบุคคล แต่เป็นระบบที่รัฐต้องรับผิดชอบ
เมื่อการสอบสวนพบต้นเหตุของโศกนาฏกรรมว่า มาจากการต่อเติมเรือผิดกฎหมายและการบรรทุกน้ำหนักเกิน ทำให้เรือสูญเสียการทรงตัวขณะหักเลี้ยวกะทันหันกระทั่งอับปางลง
นั่นขยายผลไปถึงปัญหาระดับรากเหง้าที่มาจากความฉ้อฉลของเจ้าหน้าที่ การคอร์รัปชั่น และความล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับเรือเดินสมุทร อันเป็นผลมาจากการมุ่งสร้างอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
นอกจากญาติเหยื่อจำนวนมากจะโกรธแค้น ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของประธานาธิบดีปาร์ก กึนเฮ ผู้นำหญิง ไม่พลาดซ้ำเติมภาพลักษณ์ของรัฐบาลในประเด็นนี้
แรงกดดันต่อรัฐไม่เพียงมาจากครอบครัวผู้เสียชีวิตเท่านั้น แต่ยังมาจากทั้งภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน ที่ประสานเสียงเรียกร้องความรับผิดชอบจากภาครัฐ ที่ร่วมเป็นจำเลยสังคมไปเรียบร้อย
แรงกดดันจากความโศกเศร้าและความโกรธแค้นของญาติผู้ประสบภัยทำให้ประธานาธิบดีปาร์กประกาศในงานรำลึกที่ รัฐบาลเป็นเจ้าภาพ ที่เกาะจินโด ทางใต้ของประเทศ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใกล้จุดอับปางมากที่สุด ว่าจะสั่งให้กู้ซากเรือเซวอลหนัก 6,825 ตัน ขึ้นมาจากพื้นทะเลโดยเร็วที่สุด ตามคำเรียกร้องของญาติเหยื่อ
แม้ภารกิจดังกล่าวจะยากลำบาก และอาจต้องใช้งบฯ ไม่ต่ำกว่า 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3,500 ล้านบาท
แต่อารมณ์ของญาติเหยื่อผู้เสียชีวิตจำนวนมากไม่คลายความโกรธแค้นลง นอกจากคว่ำบาตรไม่ร่วมงานแล้ว ยังก่อสิ่งกีดขวางทางเข้าศาล ที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์รำลึกโศกนาฏกรรม ดังกล่าว เพราะไม่ต้องการให้ประธานาธิบดีเกาหลีใต้เข้าไปแสดงความอาลัย โดยระบุว่า "คนตายไม่อยากเจอหน้า"
ด้านประธานาธิบดีปาร์กยังใจแข็งเป็นประธานในพิธีดังกล่าว ต่อไป แม้ปราศจากเงาของญาติผู้เสียชีวิต
ผู้นำหญิงกล่าวว่า จะดำเนินการตามลำดับเพื่อให้กู้ซากเรือเซวอลขึ้นมาจากพื้นทะเลโดยเร็วที่สุด หัวใจของตนนั้นเจ็บปวดเมื่อนึกถึง ผู้เสียชีวิตอีก 9 ราย ที่ยังคงอยู่ใต้ทะเลอันหนาวเหน็บ และความทุกข์ทรมานของครอบครัวผู้สูญเสีย
อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาต่อผู้นำหญิงยังคงเป็นไปอย่างเย็นชา
บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์จูงอัง ของเกาหลีใต้ ระบุ "ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปสักอย่าง" และว่า "คำมั่นสัญญาของรัฐบาลเป็นเพียงแค่ลมปากเหมือนกับที่มันเคยเป็นมา"
ขณะที่หนังสือพิมพ์โจซุน ฉบับขายดีที่สุดของเกาหลีใต้ ระบุว่า ประเทศนี้ยังไม่ปลอดภัย
ไม่เพียงประธานาธิบดีปาร์กผู้เดียวที่ต้องเผชิญกับความไม่พอใจของเหล่าญาติเหยื่อ ในพิธีรำลึกที่จัดบนแผ่นดินใหญ่ที่เมืองอันซาน จังหวัดคยองกี โดยมี นายอี วานคู นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ ร่วมงานด้วย ก็ถูกปฏิกิริยาตอบกลับอย่างไม่เป็นมิตรเช่นกัน
นายอีถูกบรรดาผู้คนที่ไม่พอใจการดำเนินการของรัฐบาลล้อมกรอบ ไม่ยอมให้นายกฯ เข้าไปไหว้ที่ตั้งภาพของผู้เสียชีวิตที่เรียงรายอยู่ในศาลารำลึก
ภายในสถานที่ดังกล่าวประดับด้วยพวงหรีด และริบบิ้นสีดำ รายล้อมไปด้วยตุ๊กตา ของเล่น ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่าง ต่อเนื่อง ผสมบรรยากาศเศร้าสลด จากผู้ปกครองของเด็กนักเรียนซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่รวม 250 ชีวิต
เสียงร่ำไห้แทบขาดใจและหยดน้ำตาของผู้สูญเสียไหลรินพร้อมสายฝนที่โปรยปราย ขณะที่เด็กนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมดังวอน เดินทางมาไว้อาลัยเพื่อนร่วมสถาบันของตนด้วย โดยหลายคนยืนสงบนิ่งจ้องมองภาพถ่ายของเพื่อนผู้จากโลกนี้ไปแล้ว
"ลูกชายของแม่ แม่หวังว่าลูกคงมีความสุขอยู่บนสวรรค์ แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน" ข้อความบนการ์ดใบหนึ่งเขียน
นายชุน เมียงซุง หนึ่งในผู้ปกครองที่สูญเสียลูกชายไปในเหตุการณ์ดังกล่าว ระบุว่าพวกตนเพียงต้องการให้โศกนาฏกรรมนี้เป็นโอกาสที่จะยกระดับความปลอดภัย ของสังคมให้สูงขึ้น เพื่อ ที่จะได้ไม่มีใครต้องมาเผชิญกับความเจ็บปวดเช่นนี้อีก