เคล็ดลับเพื่อผิวกระจ่างใส
2012-06-16 15:52:16
Advertisement
คลิก!!!

ผิวสวย




เคล็ดลับเพื่อผิวกระจ่างใส (Lisa)

ผิวหน้าหมองคล้ำ จุดด่างดำ กระ ฝ้า ล้วนเป็นปัญหาที่สาวๆ ไม่พึงปรารถนา แต่หากคุณปกป้องทุกวิถีทางแล้วก็ยังไม่วายเกิดปัญหาขึ้นจนได้ ก็อย่าเพิ่งวิตกจริตจนกระทั่งเผลอไผลไปกับคำโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ นานา อันอาจนำมาซึ่งปัญหาที่เพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม เราจึงได้รวบรวมทุกอย่างที่คุณควรรู้ในการทำให้ผิวกระจ่างใสโดยไม่เป็นอันตรายมาให้แล้ว

Natural Skin Whitening Agents

สำหรับปัญหาผิวพรรณดังกล่าวข้างต้น การใช้ผลิตภัณฑ์ทาลงบนใบหน้านับว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุด และนี่คือส่วนประกอบยอดนิยมซึ่งคุณมักพบในผลิตภัณฑ์เพื่อผิวหน้ากระจ่างใสหลายต่อหลายชนิด

วิตามินซี

เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เพื่อนำมาทดแทนสารไฮโดรควิโนน ได้ผลดีขึ้น เมื่อใช้ในปริมาณ 10% ร่วมกับกลุ่ม AHA เช่น กรดแล็กติกและกรดแมนเดลิก ฯลฯ แต่วิตามินซี จะถูกทำลายได้ง่ายโดยรังสียูวีเอและมลพิษ ดังนั้น จึงควรใช้ร่วมกับวิตามินอีเพื่อเสริมประสิทธิภาพ

กรดโคจิก (Kojic Acid)

ได้มาจากกระบวนการหมักบ่มข้าวมอลต์ที่ใช้ในการทำสาเก มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่ากรดโคจิกมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการสร้างเมลานิน แต่เนื่องจากกรดโคจิกเป็นส่วนผสมที่ไม่ค่อยคงที่อย่างมากในการผลิตเครื่องสำอาง มันจะเปลี่ยนสีและสูญเสียประสิทธิภาพเมื่อเผชิญกับแสงแดดหรืออากาศ เราจึงไม่ค่อยเห็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กรดโคจิกมากเท่าใดนัก บริษัทเครื่องสำอางหลายรายหันมาใช้ Kojic Dipalmitate แทน เพราะมันคงที่มากกว่าเมื่อนำมาผสมลงในเครื่องสำอาง

อย่างไรก็ตาม ไม่มีงานวิจัยที่แสดงว่า Kojic Dipalmitate มีประสิทธิภาพเท่ากับกรดโคจิก ถึงแม้จะเป็นแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ดีก็ตามที

สารสกัดจากชะเอม (Licorice Extract)

มีคุณสมบัติยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวได้ดีกว่าวิตามินซีและกรดโคจิก แถมยังดูดซับรังสียูวีได้ดีเช่นกัน

สารสกัดจากปอสา (Paper Mulberry)

สามารถยับยั้งเอนไซม์ที่ช่วยในการสร้างเม็ดสีผิว นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์รักษาฝ้า จากการวิจัยพบว่ามีประสิทธิภาพมากกว่ากรดโคจิก วิตามินซี และไฮโดรควิโนน อีกทั้งยังมีคุณสมบัติเป็นแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ดีอีกด้วย

สารสกัดจากเปลือกมะนาว (Lemon Peel)

ประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยกว่า 150 ชนิด มีคุณสมบัติที่ดีในการปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและลดเลือนรอยฝ้า

เตรติโนอิน (Tretinoin)

งานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า การใช้เตรติโนอินช่วยรักษาผิวที่เปลี่ยนสีได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็ต้องหกเดือนกว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ดังนั้น โดยทั่วไปจึงไม่แนะนำเตรติโนอินเป็นทางเลือกอย่างเดียวของการกำจัดจุดด่างดำ แต่มันอาจใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ทาผิวชนิดอื่น นั่นเพราะมันมีบทบาทสำคัญในการสร้างเซลล์ผิวใหม่ การสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน เมื่อนำมาใช้ร่วมกับส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพอื่น ๆ มันจะเป็นพันธมิตรที่ทรงอำนาจ ในการต่อสู้กับความเสียหายจากแสงแดดและผิวที่ร่วงโรยได้อย่างเหนือชั้น

กรดอัลฟ่าไฮดร็อกซี่ (Alpha Hydroxy Acid)

ที่มีความเข้มข้น 4-10 เปอร์เซ็นต์ไม่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการสร้างเมลานิน และไม่ทำให้สีผิวจางลง อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานว่าเมื่อใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ อย่างเช่น กรดโคจิก ไฮโดรควิโนน กรดอะเซเลอิก และเลเซอร์ มันอาจมีประสิทธาพอย่างมากในการทำให้สภาพผิวที่เสียหายจากแสงแดดดีขึ้น และช่วยให้ส่วนผสมอื่นๆ แทรกลงไปในผิวได้ดีขึ้น เช่นเดียวกับการใช้เลเซอร์ การลอกหน้าด้วยกรดอัลฟ่าไฮดร็อกซี่ (ความเข้มข้น 50%) ได้ผลอันน่าประทับใจในการขจัดสีผิวที่เปลี่ยนไป แต่การลอกหน้าแบบนี้ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น

กรดอะเซเลอิก (Azelaic Acid)

เป็นสารประกอบของธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ไรย์ บาร์เลย์ ซึ่งเคยได้รับการแนะให้ใช้ในการรักษาสิว แต่ก็มีงานวิจัยเพิ่มมากขึ้นที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการรักษาสีผิว อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่บ่งชี้ว่ากรดนี้ระคายเคืองกว่าไฮโดรควิโนน เมื่อนำมาใช้ร่วมกับกรดไกลโคลิกหรือกรดโคจิก แต่กรดอะเซเลอิกอาจเป็นตัวเลือกในการจัดการกับสีผิวและจุดด่างดำ ถ้าคุณมีปัญหาในการใช้ไฮโดรควิโนนควบคู่กับเตรติโนอิน

อาร์บูติน (Arbutin)

เป็นสารอนุพันธ์ของไฮโดรควิโนนที่ได้จากแครนเบอร์รี่และแพร์ มันจึงเป็นที่สนใจของผู้บริโภคเนื่องจากเป็นสารสกัดที่ได้จากพืช มันมีคุณสมบัติในการยับยั้งเมลานินแบบเดียวกับไฮโดรควิโนน แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันในเรื่องความเข้มข้น นั่นหมายความว่าเรายังไม่รู้ว่าต้องใช้อาร์บูตินแค่ไหนถึงจะทำให้ผิวสีจางลง ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทเครื่องสำอางส่วนใหญ่ยังไม่ได้ใช้อาร์บูตินในผลิตภัณฑ์

เนื่องจากปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ บริษัทเครื่องสำอางส่วนใหญ่จึงหันไปใช้สารสกัดจากพืชที่มีอาร์บูตินแทน ซึ่งยังไม่มีงานวิจัยที่แสดงว่าพืชที่เป็นแหล่งของอาร์บูตินมีผลอย่างไรต่อผิว โดยเฉพาะมีผสมอยู่ในปริมาณเพียงเล็กน้อย


Oral Supplements for Skin Lightening

ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อผิวกระจ่างใสหลายชนิด และหนึ่งในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยอดนิยมเพื่อผิวกระจ่างใสก็คือแอล-กลูตาไธโอน (L-Glutathione) ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับที่มีผู้นิยมมาฉีดเพื่อสร้างความกระจ่างใสให้ผิว หากในทางการแพทย์แล้ว การฉีดสารชนิดนี้ถือว่าไม่ปลอดภัยจึงไม่แนะนำให้ฉีด ส่วนการรับประทานนั้น ก็ไม่ให้ผลที่ดีเทียบเท่ากับการฉีด การรับประทานอาหารเสริมแอล-กลูตาไธโอนจึงอาจเป็นการสิ้นเปลืองเงินทองโดยใช่เหตุก็ได้

อย่างไรก็ตาม มีคำแนะนำให้รับประทานอาหารเสริมนี้ร่วมกับวิตามินซี กรดแอลฟาไลโปอิก (Alpha Lipoic Acid) วิตามินบี 6 วิตามินบี 2 หรือซีลีเนียม เนื่องจากอาจมีส่วนช่วยเสริมประสิทธิภาพของแอล-กลูตาไธโอนให้ออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้นได้ โดยให้รับประทานในปริมาณ 20-40 มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. และในการรับประทานวิตามินซีคู่กันนั้น ควรใช้ในปริมาณ 2 เท่าของแอล-กลูตาไธโอน แต่ก็ยังมีข้อควรระวังดังต่อไปนี้คือ

ตรวจสอบให้มั่นใจเสมอ ว่า แอล-กลูตาไธโอนชนิดเม็ดในมือคุณปราศจากส่วนผสมของสารสกัดจากพืชพื้นถิ่นในแถบแคนาดาเหนือที่ชื่อ Tyrostat และสารสกัดจากรก (Placenta Extract) ด้วยอาจทำให้เกิดปัญหาสิวหรือมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว

การรับประทานวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สมดุลกับปริมาณของแอล-กลูตาไธโอนอาจทำให้เกิดอาการท้องร่วงได้ และสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือมีปัญหาเกี่ยวกับอินซูลิน ต้องงดรับประทานกรดแอลฟาไลโปอิกร่วมกับแอล-กลูตาไธโอนโดยเด็ดขาด

ควรดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงซึ่งเป็นผลข้างเคียง จากการรับประทานแอล-กลูตาไธโอน แม้คุณจะรับประทานอาหารเสริมแอล-กลูตาไธโอนหรือไม่ได้รับประทาน คุณก็สามารถได้รับสารดังกล่าวจากอาหารที่รับประทานได้เช่นกัน เช่น บร็อกโคลี กะหล่ำปลี ผักโขม ปวยเล้ง หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วลิสง น้ำผึ้ง และตับ แต่ก็อาจจะต้องรับประทานเป็นจำนวนมาก หากอยากได้ในปริมาณที่แนะนำ


Hi-Tech Skin Resurfacing

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีหลากหลายสไตล์ในการนำมาใช้ปรนนิบัติผิว แต่ใช่ว่าทุกชนิดจะเหมาะสมและเห็นผลคุ้มค่า...คุ้มราคาจริง ๆ อย่างเช่น กรรมวิธีไอออนโต (lontophoresis) ที่เป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าผลักโมเลกุลของตัวยาสำคัญในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ นานา เข้าสู่ผิวด้วยระบบประจุไฟฟ้า ซึ่งสถาบันแพทย์ผิวหนังได้วิจัยและพบว่าให้ผลไม่แตกต่างกันกับการทาลงบนผิวตามปกติ และอาจทำให้เกิดสิวอุดตันหรือสิวอักเสบได้อีก เนื่องจากการใช้เครื่องมือถูผิวหน้า ก็ไม่ต่างอะไรกับการขัดหรือนวดหน้าแรง ๆ

นอกเหนือจากนั้นการทำบริเวณขมับหรือรอบดวงตา ก็อาจทำให้เกิดอาการชักหรือรบกวนการมองเห็นได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีเทคโนโลยีเพื่อความกระจ่างใสอีกหลายชนิดในยุคนี้ที่น่าสนใจ เปี่ยมประสิทธิภาพ และปลอดภัย

IPL หรือ Intense Pulsed Light

เป็นลำแสงชนิดหนึ่ง...ไม่ใช่เลเซอร์ มักนำมาใช้ในการรักษาปัญหาผิวพรรณหลายกรณี รวมทั้งการลดรอยดำคล้ำจากกระ ฝ้า และช่วยให้ผิวหน้าสดใสขึ้น วิธีนี้ได้ผลลัพธ์ค่อนข้างสูงคือ 80% แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแต่ละคนด้วย ในกรณียิงลำแสงเพื่อรักษาฝ้าโดยเฉพาะนั้น ไม่สามารถทำให้หายขาดได้ ด้วยพบว่าจะมีรอยฝ้ากลับมาให้เห็นใหม่อีกเมื่อหยุดยิง IPL ในสัปดาห์ที่ 16

ฉะนั้น การใช้ครีมทาฝ้าร่วมด้วยช่วยกัน จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย การยิงลำแสง แม้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา แต่อาจใช้ความเย็นประคบเพื่อลดการอักเสบหรือเจ็บขณะยิงลำแสง หลังทำเสร็จอาจจะเกิดรอยแดง ประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้น ผิวพรรณจะค่อยๆ แลดูสดใสขึ้น สามารถทำได้บ่อย ทุกๆ 2-4 สัปดาห์ ซึ่งมักจะเห็นผลชัดเจนขึ้น เมื่อยิงลำแสงต่อเนื่องประมาณ 3-10 ครั้ง และควรทำซ้ำปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อคงความกระจ่างใสของผิวพรรณตราบนานเท่านานสนนราคาโดยทั่วไปจะนับกันช็อตละ 100-200 บาท หรือยิงทั่วหน้าก็ประมาณ 2,000 บาทขึ้นไป

Laser (Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation)

นวัตกรรมซึ่งกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่มวลผู้รักสวยรักงาม ซึ่งโดยทั่วไปนิยมใช้กัน 2 ชนิดคือ Long Pulsed Nd-Yag Laser ซึ่งเป็นการฟื้นฟูผิวและคืนความกระจ่างใส โดยไม่มีการตกสะเก็ดให้เห็น และ Q-Switched Nd-Yag Laser มักจะใช้ในกรณีกระลึกและฝ้า

ทั้งนี้ เพื่อประสิทธิภาพที่ชัดเจน ทั้งสองชนิดนี้ควรยิงต่อเนื่องกันอย่างน้อย 3-5 ครั้ง จากนั้น จึงค่อยเว้นระยะห่างออกไปได้ แต่หากทิ้งช่วงนานเกินไป (ประมาณ 6 สัปดาห์ขึ้นไป) ปัญหากระ ฝ้า และความหมองคล้ำก็จะค่อยๆ กลับมาเหมือนเดิม เพราะเป็นกลไกทางธรรมชาติที่จะมีเซลล์เสื่อมสภาพเกิดขึ้นตลอดเวลาบนผิวหนังชั้นกำพร้าด้านนอกสนนราคาก็ประมาณครั้งละ 3,000 บาทขึ้นไป

หากสามารถผสมผสานกันทั้งผลิตภัณฑ์คืนความกระจ่างใสที่ใช้ทาบนใบหน้า รับประทานแอล-กลูตาไธโอน และเยียวยาแบบกระชับฉับไวด้วยเทคโนโลยีนำสมัยไม่ว่าจะเป็น IPL หรือ Laser เชื่อแน่ว่าปัญหาหนักใจของสาวๆ ก็จะหมดไปอีกเปราะ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณที่คุณมีและพอใจจะจ่ายด้วย...ใช่มั้ยคะ

อะไรเป็นอะไร?

ถึงแม้จุดด่างดำส่วนใหญ่จะมีสาเหตุมาจากแสงแดด แต่มันก็อยู่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน และต่อไปนี้คือลักษณะของการเปลี่ยนแปลงของสีผิวแบบต่าง ๆ

กระ เป็นจุดสีน้ำตาลเข้มเล็กๆ ที่ปกติจะเล็กกว่าครึ่งเซนติเมตร มันอาจเป็นๆ หายๆ เช่น อาจจางลงในช่วงฤดูกาลที่แดดไม่จัด และเห็นชัดเจนขึ้นอีกครั้งในช่วงหน้าร้อน

ขี้แมลงวัน (Lentigines) เป็นจุดสีน้ำตาลเข้มขนาดเล็กถึงปานกลาง ซึ่งจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อคุณอายุมากขึ้น โดยจะโผล่ขึ้นตามในหน้า มือ หน้าอกทุกที่ ซึ่งต้องเผชิญกับแสงแดด

สีผิวไม่สม่ำเสมอ เป็นการที่สีผิวในบริเวณกว้างเปลี่ยนไป โดยสีผิวในบางแห่งคล้ำกว่าบางแห่ง

สีผิวที่เปลี่ยนไปจากอาการอักเสบ เมื่อเกิดสิว แมลงกัด-ต่อย หรือมีผื่นจากการอักเสบ เมื่ออาการเหล่านี้หายไปแล้ว สีผิวบริเวณนี้ ก็อาจเปลี่ยนไปได้เช่นกนเนื่องจากอาการอักเสบของผิว

ฝ้า เป็นรอยดำบนผิวที่ใหญ่กว่าจุดกระหรือขี้แมลงวัน ฝ้ามักมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนด้วย มันจึงมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น (บนแก้ม หน้าผาก หรือรอบริมฝีปาก) ในเวลาที่ผู้หญิงตั้งครรภ์ กินฮอร์โมนทดแทน หรือกินยาคุมกำเนิด

ข้อมูลจากกระปุกดอดคอม

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X