เมื่อเร็ว ๆ นี้ อีทึก (Leeteuk) Super Junior ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว 'News1' เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเขา ในฐานะที่เป็นหัวหน้าวง และอยู่ในวงการนี้มายาวนานกว่า 15 ปี

คำถาม: คุณมาเป็นหัวหน้าวงได้อย่างไร?

อีทึก: “ผมได้รับหน้าที่นี้เพราะผมอายุมากที่สุดในวงครับ ก่อนที่ Super Junior จะรวมกลุ่มกัน ผมเคยเป็นหัวหน้าวงที่ชื่อ 'Smile' มาก่อน แต่วงนั้นไม่ได้เดบิวต์ครับ แม้กระนั้น ผมก็ยังรู้สึกกดดันต่อการรับหน้าที่นี้ครับ ผมกังวลมากจริง ๆ เมื่อบอกว่าผมจะต้องเป็นผู้นำของวงที่ใหญ่ขึ้น ในตอนแรกผมบอกว่าผมทำไม่ได้ ในตอนนั้น ประธานแทคยองจุน (Tak Young Joon) ของ SM Entertainment ในตอนนี้ เป็นผู้จัดการส่วนตัวของพวกเราครับ เขาได้ให้กำลังใจผมด้วยการพูดคุยกับผมบ่อย ๆ ครับ ผมซึ่งตอนนั้นอยากจะเดบิวต์ใจจะขาด ผมเลยตัดสินใจรับหน้าที่หัวหน้าวง และสามารถทำมาได้เรื่อย ๆ ซึ่งต้องขอบคุณทุกคนที่อยู่รอบตัวผมรวมถึงสมาชิกในวงด้วยครับ”

คำถาม: ตอนนี้ สมาชิก Super Junior ทุกคนถูกพิจารณาให้เป็นรุ่นเก๋าของวงการนี้แล้ว พวกเขามีแนวโน้มที่จะดำเนินตามบทบาทที่ได้รับของพวกเขาอย่างเป็นมืออาชีพมากกว่าจะทำตามคำแนะนำของใคร ๆ คุณเป็นประเภทที่ปล่อยให้พวกเขาทำงานของพวกเขากันเองหรือเปล่า?

อีทึก: “ผมคิดว่าเราได้ทำหน้าที่เผยแพร่ชื่อของเราสู่สาธารณะ ไม่ใช่แค่ในนามของแบรนด์ 'Super Junior' แต่รวมถึงชื่อของเราแต่ละคนด้วยครับ สมาชิกของเราทั้งหมดทำได้ดีในงานของพวกเขา ซึ่งผมไม่จำเป็นจะต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขาอีก อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกแอบเศร้าอยู่บ้างครับ มันเหมือนกับผมเป็นพ่อแม่ที่ภูมิใจลูก ๆ แต่ว่า ก็อดที่จะเศร้าเมื่อพวกเขาแต่งงานออกไปไม่ได้ครับ (หัวเราะ)”

คำถาม: หน้าที่ของคุณในฐานะผู้นำคืออะไร?

อีทึก: “ผมมาถึงจุดที่ว่าผมพยายามมองภาพอนาคตของ Super Junior แบบว่า 'จะทำให้ Super Junior เป็นวงที่อยู่ยืนยาวได้อย่างไร' และ 'อะไรที่เราจะทำในอีก 5~10 ปีข้างหน้า' ผมคิดถึงเรื่องเหล่านี้บ่อยมากเมื่อตอนที่ผมเข้ากรมรับใช้ชาติครับ และนั่นก็ได้ทำให้ผมปิ๊งไอเดียในการสร้าง Label SJ. ขึ้นมา ผมยังได้มีส่วนร่วมในการดีไซน์แท่งไฟของวงด้วยครับ ตอนนี้ผมจะคิดให้รอบคอบขึ้นมากกว่าตอนที่ผมเพิ่งจะเดบิวต์ใหม่ ๆ ครับ”

คำถาม: ในความเป็นจริงที่ว่า Super Junior เจ็บปวดจากความยากลำบากและการต่อสู้ดิ้นรน เรื่องที่ว่านั้นเป็นแบบไหน?

อีทึก: “สิ่งเลวร้ายมากมายเกิดขึ้นพร้อมกันในขณะที่เราอยู่ใน 'จุดสูงสุด' ในสายอาชีพของพวกเราครับ บ่อยครั้งที่เรานั่งร้องไห้อยู่ในหอพักของพวกเรา แต่พอมองย้อนกลับไป ตอนนี้ผมคิดว่ามันทำให้เราสามารถรวมกลุ่มกันได้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นครับ ถ้ามีโอกาสในอนาคต ผมอยากจะยืนบนเวทีกับสมาชิกทั้ง 13 คนอีกครั้งครับ แน่นอนว่า ถ้ามีสมาชิกคนไหนที่ไม่เห็นด้วย เรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในฐานะหัวหน้าวง ผมอยากจะพิจารณาและฟังความรู้สึกของสมาชิกในวงตอนนี้มากที่สุดครับ”