Bohemian Rhapsody โบฮีเมียน แรปโซดี
2018-10-29 22:09:14
Advertisement
คลิก!!!

ท่อนอินโทรที่โดดเด่นของเพลง “We Will Rock You” เสียงสูงที่ร้องประสานในเพลง “We Are the Champions” ล้วนแต่เป็นเสน่ห์ที่ชวนตราตรึงของ “Bohemian Rhapsody”

ใครบ้างที่จะไม่ร้องคลอตามเวลาที่ได้ยินเพลงเหล่านี้? ใครบ้างที่จะอดใจไม่ขยับเท้าไปตามจังหวะหัวใจเต้นได้? ใครบ้างที่จะลืมช่วงเวลาของานคอนเสิร์ต Live Aid เมื่อปี 1985 ที่ลุกเป็นไฟเมื่อเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่เดินเฉิดฉายบนเวทีและส่งไมค์ให้ผู้ชมร่วมร้องเพลงไปด้วยกันด้วยความคลั่งได้ลง?

นับเป็นเวลานานกว่า 25 ปีแล้วตั้งแต่ที่นักร้องนำและผู้สร้างสีสันอย่างเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ได้เสียชีวิตลง แต่บทเพลงยังคงเป็นตำนานสืบต่อไป เฟรดดี้ได้สร้างคำจำกัดความและสร้างต้นแบบขึ้นมาใหม่ เมื่อบทเพลงของวงควีนแตกต่างจากแนวเพลงทุกยุคที่เคยมีมา ซึ่งนั่นอาจเป็นสาเหตุที่วงดนตรีวงนี้ได้เดินทางข้ามยุคสมัย ข้ามวัฒนธรรมที่หลากหลาย และสร้างปรากฏการณ์ขึ้นมาทั่วโลก

ตอนนี้ รามี่ มาเล็ค เจ้าของรางวัล Emmy® (Mr. Robot) ต้องมาสวมชุดรัดรูปและคว้าไมค์เพื่อการสวมบทราชาเพลงป๊อปร็อคในภาพยนตร์เรื่อง Bohemian Rhapsody ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองแด่บทเพลงของวงควีนและเส้นทางชีวิตที่ไม่ธรรมดาของเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่

นักแสดงคู่กับมาเล็คได้แก่ลูซี่ บอยน์ตัน (Murder on the Orient Express) รับบทแมรี่ ออสติน, กวิลิม ลี (Jamestown) รับบทมือกีตาร์ไบรอัน เมย์; เบ็น ฮาร์ดี้ (The Women in White) รับบทมือกลองโรเจอร์ เทย์เลอร์; โจ แมซเซลโล่ (Jurassic Park) รับบทมือเบส จอห์น “เดซี่” ดีคอน; ไอแดน กิลเลน (Game of Thrones) ผู้จัดการคนแรกของวงควีน จอห์น รีด; ทอม ฮอลแลนเดอร์ (The Night Manager) ทนายผู้กลายมาเป็นผู้จัดการของวง จิม “ไมอามี่” บีช; อัลเล็น ลีช (Downton Abbey) รับบทพอล เพร็นเตอร์ ผู้เริ่มจากการเป็นผู้ช่วยของรีดและกลายเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่; อารอน แม็คคัสเกอร์ (Shameless) ในบทเพื่อนผู้ชายคนสนิทของเฟรดดี้ จิม ฮัตตัน และ ไมค์ ไมเยอร์ส (Austin Powers)ในบทเรย์ ฟอสเตอร์แห่ง EMI Records

แอนโธนี่ แม็คคาร์เทน (Darkest Hour, The Theory of Everything) รับหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์จากเรื่องราวโดยแม็คคาร์เทนและปีเตอร์ มอร์แกน (The Crown, The Queen) อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยกราแฮม คิง (The Departed, The Aviator) และจิม บีช (The Krays, The Hotel New Hampshire) และกำกับฯ โดยไบรอัน ซิงเกอร์ (X-Men, Superman Returns) อาร์นอน มิลแชน (The Revenant, Gone Girl), เดนิส โอ’ซัลลิแวน (Tomb Raider, World War Z), จัสติน เฮย์ธี่ (Red Sparrow, Snitch), เด็กซ์เตอร์ เฟล็ตเชอร์ (Eddie the Eagle, Wild Bill) และเจน โรเซนธัล (The Wizard of Lies, About a Boy) รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

รายละเอียดการถ่ายทำ

ผู้อำนวยการสร้างฯ กราแฮม คิงได้รับการชักชวนให้ซื้อลิขสิทธิ์เรื่องราวของเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่และวงควีนจากนักเขียนเจ้าของรางวัลอย่างปีเตอร์ มอร์แกน ตอนนั้นผมกำลังถ่ายทำเรื่อง Hugo ปีเตอร์โทรมาหาผมและถามว่าผมชอบวงควีนมั้ย’ เขาเล่าถึงตอนนั้น “ผมตอบไปว่าแน่นอน ผมรักวงควีนเลยล่ะ! เขาบอกผมว่ากำลังเขียนบทภาพยนตร์อยู่ และไม่มีใครถือลิขสิทธิ์เรื่องราวของพวกเขา ซึ่งผมควรเก็บไปคิดว่าจะมาร่วมงานด้วยมั้ย”

คิงรู้เรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตของเฟรดดี้ตั้งแต่ตอนโตขึ้นที่ลอนดอนช่วงปี 1970 และ 1980 หลังจากที่คุยโทรศัพท์เป็นเวลานานกับจิม บีช ทนายของวงควีน ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับผู้ก่อตั้งวงควีน ได้แก่ มือกีตาร์ไบรอัน เมย์ มือกลองโรเจอร์ เทย์เลอร์ หลังจากนั้นการเจรจาถือเป็นอันเสร็จสิ้น‘’

ซึ่งเป็นอย่างที่คิงคาดเอาไว้ ในช่วงแรกเมย์และเทย์เลอร์รู้สึกหวั่นใจกับโปรเจ็กต์นี้ แต่คิงเองก็เคยผลิตภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลมาแล้วหลายเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องราวของผู้มีชื่อเสียง อาทิเช่น ฮาเวิร์ด ฮิวส์ ในเรื่อง The Aviator และมูฮัมหมัด อาลี ในเรื่อง Ali รวมถึงอดีตซีไอเอโทนี่ เม็นเดส ในเรื่อง Argo ซึ่งเป็นไปในทางทิศทางที่ดีพอจะลดความกังวลของพวกเขาลงได้ “ผมมาจากหนังฮอลลีวูดฟอร์มยักษ์ และผมคิดว่าเรื่องราวควรค่าแก่การถ่ายทอดออกมาในระดับนั้น” คิงกล่าว “ภาพยนตร์จะมีการเฉลิมฉลองบทเพลงและตำนานที่สืบทอดต่อมาของวงควีนและเฟรดดี้ ถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ด้รู้ว่าเฟรดดี้คือใคร อดีตของเขาที่ แซนซิบาร์ การเดินทางสู่ลอนดอนในฐานะของผู้ลี้ภัย ความโหดร้ายที่เขาต้องรับมือในช่วงที่โตขึ้นมา ความอายและไม่มั่นใจในภาพลักษณ์ของเขา การฝ่าฟันกับเรื่องเสื้อผ้าต่างๆ ที่มีความหลากหลาย ความสามารถของเขาในฐานะของนักแต่งเพลงและนักดนตรี การสร้างอีกครอบครัวขึ้นมาในวงดนตรี การเป็นนักแสดงผู้ยิ่งใหญ่อีกครั้งและยังคงเป็นคนที่ทุกคนรักเหมือนเดิมอยู่เสมอ สามารถแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ออกมาได้ ชื่อเสียงทั้งหมดจากการสร้างเสียงเพลงที่มีความสร้างสรรค์และแหวกแนวในยุคนั้น ซึ่งในยุค 1970 จนถึง 1985 เหมือนเป็นช่วงเวลาสำคัญของเฟรดดี้และวงดนตรีเลยก็ว่าได้ โดยปิดฉากสุดท้ายที่ความสำเร็จของ Live Aid”

เทยาและเทย์เลอร์เป็นส่วนหนึ่งของทีมในการสร้างสรรค์ผลงานอย่างที่คิงต้องการ และการเข้ามาร่วมงานของพวกเขายิ่งสร้างความมั่นใจให้ภาพยนตร์ว่าจะยึดตามเรื่องราวจริงที่เกิดขึ้น “ภาพยนตร์ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของพวกเขา ซึ่งไม่มีใครจะรู้ไปดีกว่าพวกเขา” เขากล่าว “เราอาจอ่านหนังสือหลายเล่ม บทความในนิตยสาร ดูวีดีโอและบทสัมาษณ์มากมาย แต่เมื่อเราได้นั่งอยู่กับคนที่พาเราย้อนเวลาไปได้ คนที่เล่าเรื่องราวของเฟรดดี้ที่เราหาไม่ได้ในปัจจุบัน นั่นคือสิ่งที่มีความหมายที่สุดในโลกสำหรับผม พวกเรารู้สึกว่าเราไม่เคยสร้างหนังขึ้นมาจนกว่าทุกอย่างจะถูกต้อง ทั้งเนื้อเรื่อง นักแสดง ทุกย่างต้องมีความเหมาะสม ที่สำคัญสำหรับผมคือทุกคนที่มีส่วนร่วมรู้สึกภูมิใจที่ได้เล่าเรื่องราว รู้สึกภูมิใจที่ภาพยนตร์เรื่องราวชีวิตของพวกเขาจะถ่ายทอดไปทั่วโลก”

โปรเจ็กต์ได้ผ่านการรวบรวมเรื่องราวหลายครั้งจนกระทั่งได้ปรากฏบนหน้าจอในที่สุด เมย์และเทย์เลอร์รู้สึกประทับใจในความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบของคิง “กราแฮม คิงเป็นผู้สร้างที่สุดยอดมาก เขาฝ่าฟันไปกับพวกเราตลอดเวลาเลย” เมย์กกล่าว “มีช่วงที่โรเจอร์กับผมคิดว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เป็นเพราะกราแฮมจัดการรวบรวมทีมงานและนักแสดงที่มีฝีมือมาไว้ด้วยกัน เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากครับ”

ไม่แปลกใจเลยที่เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ยังคงมีความพิเศษอยู่ในใจของไบรอัน เมย์ “ความทรงจำเกี่ยวกับเฟรดดี้มีหลายเรื่องมาก” เขาเล่าด้วยความรัก “ผมจำรอยยิ้มขี้เล่นและแววตาที่มีประกายของเขาได้ เขาจะชอบพูดเล่นและคอยหยอกล้อตลอดเวลา แต่เขาเป็นคนอารมณ์ดีและน่ารักครับ เขาไม่มีความชั่วร้ายอยู่ในตัวเลย มีบ้างที่เขาจะฉุนเฉียวง่ายแต่เขาก็รู้จักควบคุมมัน ลึกๆ แล้วเขาเป็นคนขี้อาย ถ้าต้องเผชิญหน้ากับอะไรเขาก็พร้อมที่จะเผชิญ จากนั้นเขาก็จะไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ผมจำความอบอุ่นในตัวเฟรดดี้ได้ รู้ว่าเขาจะไม่ยอมเสียเวลาให้กับอะไร เขามีความมุ่งมั่นเสมอ รู้ว่าตัวเองต้องแก้ปัญหายังไง ซึ่งนั่นเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับการเรียนรู้ดีกว่าพยายามเอาใจทุกคนในสถานการณ์บางอย่าง”

คิงรู้สึกภูมิใจในความสำเร็จของภาพยนตร์และการรวบรวมเพลงต่างๆ ไว้ในเรื่องอย่างดี “วงดนตรีกลุ่มนึงสร้างเพลงของพวกเขาขึ้นมายังไง? นั่นเป็นเรื่องที่ถ่ายทอดบนหน้าจอออกมาได้ยากมาก” เขากล่าว “ผู้ชมจะต้องสนุกกับการดูสิ่งนั้น มันไม่ใช่แค่เรื่องราวของเฟรดดี้ มันยังมีเรื่องการสร้างเสียงดนตรีของพวกเขาขึ้นมาด้วย พวกเขาสร้าง ‘Bohemian Rhapsody’ ขึ้นมายังไงถึงมีความโดดเด่นเมื่อมีการเปิดตัว?”

มีฉากหนึ่งที่เมย์รู้สึกชอบเป็นพิเศษที่ได้เห็น คือการปรากฏตัวครั้งแรกของวงดนตรีทางรายการชื่อดังของ BBC-TV ที่ชื่อว่าTop of the Pops เมื่อปี 1974 ด้วยเพลง “Killer Queen” ที่จุดประกายให้วงมีชื่อเสียงถึงต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงที่แหวกแนวของเฟรดดี้และเสื้อผ้ารัดรูปที่ทำให้เป็นที่พูดถึงมากขึ้นก็ตาม

“วงอื่นยกเลิกในช่วงเวลาสุดท้าย เราเลยได้เข้าไปแสดง” เมย์กล่าว “แต่นโยบายของ BBC ถือเป็นเรื่องแปลกสำหรับเรามากที่ไม่มีใครแสดงสดได้ นักร้องต้องลิปซิงค์เอา มันทำให้เราอึดอัดเพราะเราถนัดการแสดงสด แต่มันทำให้เราตัดสินใจทำวีดีโอของ ‘Bohemian Rhapsody’ ขึ้นมา เพราะเรารู้ว่าเราคงดูตลกถ้าต้องยืนบนเวทีด้วยท่าทางเรียบร้อยแบบนั้น เนื่องจากเพลงขึ้นเป็นอันดับ 1 และครองอันดับยาวนานถึง 6 สัปดาห์ Top of the Pops เล่นวีดีโอนั้นถึง 6 สัปดาห์ เราไม่คิดเลยว่ามันจะดังไปทั่วโลกและมีปฏิกิริยาไปในทิศทางเดียวกัน อย่างเช่นที่ออสเตรเลียที่เราไม่เป็นที่น่าสนใจเท่าไหร่แต่กลับยิ่งใหญ่มาก วีดีโอนั้นพลิกให้เรากลายเป็นดาราไปเลย”

ภาพยนตร์เปิดตัวและปิดฉากด้วยการแสดงของวงควีนในงาน Live Aid ซึ่งงาน Live Aid ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของวัฒนธรรมช่วงยุค 1980 มีการนำซูเปอร์สตาร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาร่วมคอนเสิร์ต 2 เวที คือ Wembley Stadium ในลอนดอนและ John F Kennedy Stadium ที่ฟิลาเดเฟียเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 1985 มีการจัดโดยบ็อบ เกลดอฟและมิดจ์ จูร์เพื่อระดมเงินทุนให้ผู้ประสบภาวะขาดแคลนในเอธิโอเปีย โดยคอนเสิร์ตนั้นถือเป็นการออกอากาศผ่านดาวเทียมและทีวีที่ยิ่งใหญ่สุดตลอดกาล มีผู้ชมทั่วโลกมากกว่า 1.9 พันล้านคนจาก 150 ประเทศ

การตัดสินใจให้เนื้อเรื่องมีภาพของการแสดงสดที่น่าทึ่งถือเป็นเซนส์ที่ดีเยี่ยมของคิงและทีมงาน คอนเสิร์ตถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ได้นำวงกลับมารวมตัวกันหลังจากที่เมอร์คิวรี่ย้ายไปที่เยอรมัน เพื่อทำอัลบั้มเดี่ยว 2 อัลบั้ม และเป็นช่วงเวลาที่เมอร์คิวรี่เกิดความสูญเสียหนักที่สุดในเรื่องพอล เพร็นเตอร์ เขาต้องอยู่ท่ามกลางคนที่เอาเปรียบความใจดีของเมอร์คิวรี่ และต้องอยู่ในวังวนของยาเสพติดและแอลกอฮอล์

การแสดงของวงควีนมีการเก็บภาพไว้อย่างดีโดยผู้จัดงาน Live Aid “ผู้ชมมีการรับชมที่สหราชอาณาจักร แต่ไม่มีการเรียกระดมเงินทุนแต่อย่างใด ซึ่งนั่นคือประเด็นสำคัญของคอนเสิร์ต” คิงกล่าว “เฟรดดี้มาในงานและจัดการซ้อมของวง 3 สัปดาห์ จึงกลายเป็นฉาก 20 นาทีที่มีความเพอร์เฟ็กต์ เขานำทุกคนมารวมตัวกัน ทำให้พวกเขารู้ว่างานนี้เกี่ยวข้องกับอะไร”

คิงเชื่อว่าพื้นฐานที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมของเฟรดดี้จะอธิบายได้ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องราวนี้ขึ้นมาได้ “ผมคิดว่าเฟรดดี้เป็นผู้นำคนมารวมตัวกัน ไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน เพศไหน สัญชาติไหน ทุกคนมารวมตัวกันเวลาที่เฟรดดี้ขึ้นเวที นั่นเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย เวลาที่เฟรดดี้บอกให้ผู้ชมส่งเสียงมา ผู้ชมรับฟังเขาและเริ่มส่งเสียงมา ควีนได้รับเงินบริจาครายเดียวมากที่สุดราว 1 ล้านยูโร ซึ่งในช่วงเวลานั้นถือเป็นจำนวนมหาศาลมาก!”

ทุกคนมีความทรงจำของตัวเองในวันนั้น แต่สำหรับผู้นักแสดงที่นั่นกลับยิ่งมีความพิเศษมากกว่าโดยเฉพาะไบรอัน เมย์ “ผมจำความเร่งรีบนั้นได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและตื่นเต้นมาก” เขากล่า “เพราะมันเป็นการแสดงครั้งเดียวเลยทำให้รู้สึกกลัว แต่เป็นไปในทางที่ดีนะครับ ไม่ต่างจากการแสดงชั่วคราวทั่วไปที่มันมีการปลดปล่อยอย่างเต็มที่บนเวที เรารู้สึกดีใจที่ไม่มีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้น ไม่มีเรื่องผิดพลาด และเราปลดปล่อยตัวเองออกมาได้อย่างสบาย มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากครับ และผมจำได้ว่าบ็อบ เกลดอฟก็รู้สึกดีใจมาก ถือเป็นความทรงจำที่วิเศษมากเพราะทุกคนวางอีโก้ของตัวเองลง เพื่อคอยให้การสนับสนุนและส่งกำลังใจให้กัน”

การคัดเลือกนักแสดงในเรื่อง

การคัดเลือกนักแสดงที่เหมาะสมมารับบทบาทถือเป็นเรื่องหนึ่งที่น่ากังเวล โดยเฉพาะการคัดนักแสดงในบทเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ บทบาทนั้นมีความท้าทาย ไม่ใช่แค่นักแสดงจะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนของเมอร์คิวรี่ออกมาได้หรือไม่ แต่ต้องถ่ายทอดการแสดงสดของวงควีนในเรื่องออกมาเยอะมากด้วย เขาต้องมีความเข้าใจเรื่องท่าทางการเคลื่อนไหวและการเต้น ซึ่งนั่นเป็นเสน่ห์บนเวทีที่สำคัญมากของเมอร์คิวรี่

กราแฮม คิงอธิบายถึงความรู้สึกของเมอร์คิวรี่ที่เปลี่ยนแปลงตลอดชีวิตของเขาว่า “เฟรดดี้เป็นคนที่ไม่ยอมจำนนต่ออะไรทั้งนั้น เขามีความเป็นนักสู้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับการอพยพมาที่สหราชอาณาจักรในช่วงเวลานั้น เขาไม่ได้กลายเป็นดาวได้ภายในพริบตา ไม่ใช่ความสำเร็จเพียงชั่วข้ามคืน เขาเป็นที่หนึ่งได้จากการต่อสู้ เขาไม่ยอมรับในการคำว่า “ไม่” เขาต่อสู้ตลอดเวลาเพื่อให้ได้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าและดีกว่า นั่นคือสิ่งที่ควีนสร้างขึ้นมาอย่างดีในบทเพลงของพวกเขา ทุกครั้งที่คุณคิดว่าได้ยินเพลงที่เพราะที่สุดของควีน มักจะเป็นเพลงที่ลอยผ่านมาและทำให้คุณรู้สึกสบายใจ”

รามี่ มาเล็ค นักแสดงชาวลอสแองเจลิสเจ้าของรางวัล Emmy® จากผลงานทางทีวีเรื่อง Mr. Robot เป็นนักแสดงที่คิงและผู้สร้างภาพยนตร์เลือกให้มาสวมบทบาทของเมอร์คิวรี่ มาเล็ครักเสียงดนตรีและรู้สึกตื่นเต้นที่มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับผู้มีชื่อเสียงด้านดนตรีรายนี้มากขึ้น “ผมรู้ว่าวงควีนดังมากและเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่เป็นคนดังและเป็นฮีโร่ของใครหลายคน” มาเล็คกล่าว “แต่ผมไม่เข้าใจมากนักว่าเขามีความสำคัญต่อใครหลายคนทั่วโลกขนาดไหน ฐานแฟนเพลงของวงควีนมีขนาดใหญ่มาก ผมเป็นแฟนของวงควีนและเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่มาตลอด แต่พอผมเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับวงดนตรีก็เพิ่งรู้ว่าพวกเขาก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1970 ตอนที่ยังไว้ยาว ทาเล็บสีดำ และสวมเสื้อผ้าที่ดูแหวกแนว ผมคิดว่าสิ่งที่เป็นตัวตนของเฟรดดี้มากที่สุดคือทรงผมที่ตัดสั้น มีหนวด สวมเสื้อกล้าม เป็นผู้ชายมีกล้ามที่ดูกล้าหาญและดูมีความเป็นผู้ชายมาก รู้สึกแปลกใจที่ได้รู้จักเขาหลายมุมและด้านที่อ่อนโยนของเขาด้วย”

ความกลัวของมาเล็คในช่วงแรกเรื่องการรับบทเด่นก็ลดลงหลังจากนั้นไม่นาน

“เวลาที่เราต้องรับบทเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ เราอดคิดไม่ได้ว่าจะสวมบทบาทนั้นยังไงดี?” เขากล่าว “ผมเริ่มด้วยวิธีที่ไม่ต่างจากการรับบทอื่นๆ ผมเริ่มแจกแจงจากความสำเร็จด้านการแสดงของเขา ความสามารถในด้านยึดครองเวที การร้องเพลง การเล่นเปียโน และการเป็นคนมีความซับซ้อนที่พยายามค้นหาตัวตนของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ผมรู้ว่าจะจัดการแก้ไขยังไง ถ้าผมเริ่มจากตรงนั้นได้ก็เหมือนผมมีเสาหลัก ทำให้รู้สึกมั่นใจในการทำสิ่งอื่นๆ ที่เหลือ

“มีอย่างหนึ่งในเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ที่ผมไม่อาจต้านทานได้” มาเล็คเล่าต่อว่า “เวลาที่เขาอยู่บนเวที จับไมค์ครึ่งเดียวหรือนั่งอยู่ที่เปียโน เขาดูพร้อมจะทำอะไรก็ได้ ความมหัศจรรย์ในตัวเขาคือการแลกเปลี่ยนความรู้สึกกับผู้ชม โดยที่ทุกคนก็จะรู้สึกได้ในแบบเดียวกับเขา เขาสามารถเข้าถึงคาวมรู้สึกคุณได้เหมือนอยู่ในห้องกับคุณเพียงลำพัง นั่นเป็นการสื่อสารที่ทำให้เขามีเอกลักษณ์ น่าจดจำ และเป็นศิลปินที่มีการปฏิวัติยุคของเราหรือทุกไหนก็ตาม”

กราแฮม คิงเห็นด้วยว่า “ไม่มีใครควบคุมผู้ชมได้เหมือนเฟรดดี้ เขารู้วิธีเล่นกับผู้ชมที่อยู่ด้านหลังสเตเดียม เขาคิดถึงผู้ที่สังคมไม่ยอมรับ เขาคิดถึงผู้ที่ถูกสังคมกลั่นแกล้ง เขาคิดถึงผู้ที่ไม่สามารถมาอยู่ตรงนี้ได้ และเขาเข้าใจจากสิ่งที่เขาเคยพบเจอมา ผมไม่คิดว่าเขาจะทิ้งที่มาของเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ ซึ่งนั่นมีความหมายสำหรับเขา และผมคิดว่าเพลงที่เขาแต่งขึ้นมาคือส่วนหนึ่งของเสน่ห์ในตัวเฟรดดี้ที่บอกว่า ‘ใช่ ผมอาจจะเป็นนักร้อง แต่พวกเราทุกคนร้องเพลงด้วยกันได้ เรารักกันได้ เราพยายามหาจุดที่จะอยู่ร่วมกันในโลกใบนี้ได้’ ซึ่งผมคิดว่านั่นมีความหมายสำหรับเขามาก”

สำหรับมาเล็คมีธีมหนึ่งที่สำคัญมากในหนัง ซึ่งเป็นความรู้สึกเกี่ยวกับครอบครัว ครอบครัวให้การปกป้อง มีความรักและใส่ใจให้ยังไงบ้าง ตอนที่พอล เพร็นเตอร์ได้รับการว่าจ้างให้เป็นผู้ช่วยของจอห์น รี้ด ผู้จัดการวง ความเป็นครอบครัวของเมอร์คิวรี่ได้พังทลายลง เพร็นเตอร์หลอกล่อเขาด้วยความมั่นใจของเมอร์คิวรี่ โน้มน้าวให้เขายอมทำตามความสุขของตัวเอง และเขายังโน้มน้าวให้เมอร์คิวรี่ออกจากวง ทิ้งทุกอย่างที่เยอรมันอีกด้วย “ในวงมองว่าพอลเป็นคนเจ้าเล่ห์และชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ” มาเล็คกล่าว “เขานำเฟร็ดดี้ไปอยู่ในจุดที่ตกต่ำมาก ทั้งปาร์ตี้ เที่ยวคลับ เล่นยา แอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นการชักชวนจากแมรี่ ออสติน คนที่สนิทกับเขาที่สุด จนเขาได้รู้ว่าคนที่เขารู้จักที่มิวนิกนั้นไม่ใช่ครอบครัวที่แท้จริง และไม่มีความจริงใจกับเขาเลย เขารู้ตัวว่าได้สูญเสียชีวิตบางส่วนของเขาไปแล้ว เขาสูญเสียวงดนตรี และนั่นคือช่วงเวลาสุดท้ายที่เขาคิดได้ เขารู้ว่าไว้ใจสมาชิกคนอื่นในวงนี้และตัวเธอมากขนาดไหน “

มาเล็ครู้สึกดีใจมากที่ไบรอัน แมย์และโรเจอร์ เทย์เลอร์มีส่วนร่วมในภาพยนตร์ “การมีไบรอันและโรเจอร์มาร่วมงานถือเป็นเรื่องสำคัญมาก” เขากล่าว “ไม่มีใครรู้เรื่องราวพวกเขาและเรื่องวงนี้ดีไปกว่าพวกเขาสองคน ฉะนั้นความเข้าใจที่ได้จากพวกเขาคือสิ่งมีค่ามาก และเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้พวกเราด้วยการมีพวกเขาอยู่เคียงข้าง ได้รู้ว่าพวกเขาอยู่ตรงนั้น เฝ้าดูพวกเราทำงานอยู่ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะเอาเรื่องราวของเราไปฝากไว้ในมือของคนแปลกหน้า แต่เรารู้จักพวกเขาและมันมีความไว้วางใจในระดับที่เราไม่อยากทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวังเลย”

เมื่อมาถึงขั้นการเตรียมฉากคอนเสิร์ตแสดงสด มาเล็คก็มีแนวการทำงานที่ไม่ธรรมดาอีกเช่นกัน “ผมรู้ว่าตัวเองต้องร้องเพลง ต้องพูดสำเนียงอังกฤษ ต้องเดินไปมาทั่วเวที และผมรู้ว่าตัวเองต้องการครูฝึกด้านการเคลื่อนไหว” เขากล่าว “ผมพบกับพอลลี่ เบ็นเน็ตต์ และเราก็เข้าใจประเด็นได้ทันที”

ในฐานะของครูฝึกสอนด้านการเคลื่อนไหว เบ็นเน็ตต์ช่วยนักแสดงค้นหาและทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวในแบบเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ “การเคลื่อนไหวไม่ใช่แค่การแสดงเท่านั้น” เบ็นเน็ตต์อธิบาย “มันคือทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวละครและรวมถึงตัวตนของเขาด้วย”

เบ็นเน็ตต์เริ่มจากดูสิ่งที่เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ฝากเอาไว้ โดยเฉพาะสิ่งที่เธอเรียกว่าการเคลื่อนไหวในแบบเขา และทุกความทรงจำจากการร้องเพลงของเขาดูมีเสน่ห์จากท่าทางที่เขาแสดงออกมา

“รามี่กับฉันต้องจัดการเรื่องท่าทางในทุกเพลง เพื่อคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฟรดดี้ก่อนที่จะมีช่วงเวลานั้น ท่าทางที่เขาแสดงออกมามันจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง เราติดตามทุกเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเขาตั้งแต่ปี 1950 จนถึง 1985 ซึ่งเป็นตอนจบของหนังที่จะได้เห็นว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรกับท่าทางของเขา”

เบ็นเน็ตต์เล่าว่าการเป็นนักมวย นักกอล์ฟ นักวิ่งระยะไกลในช่วงที่เฟรดดี้ยังเป็นเด็กได้ส่งผลถึงการเคลื่อนไหวของเขาในภายหลัง “เราจะเห็นท่าชกมวยในการแสดงของเขา เราจะเห็นเขายกเข่าขึ้นเวลาที่วิ่ง และบางทีจะเห็นเขาถือไมค์เหมือนเป็นไม้กอล์ฟ ทั้งหมดมาจากความทรงจำของกล้ามเนื้อ นอกจากนั้นได้ไปที่แซนซิบาร์และพบกับค่านิยมบางอย่าง ซึ่งมันแสดงให้เห็นจาก สีสันและการตกแต่งเสื้อผ้าของเขา เรายังสังเกตไปถึงสิ่งที่เขาใช้ครอบฟันด้วย โดยเฉพาะในช่วงปีแรกๆ และจนมันหายไปเมื่อเขามีอายุมากขึ้นและมีความมั่นใจมากขึ้น อ้าปากร้องเพลงและยิ้มได้กว้างขึ้นบนเวที”

การศึกษาข้อมูลของพวกเขายังเน้นที่เรื่องความรักของเฟรดดี้กับลิซ่า มินเนลลี่และหนังเรื่อง Cabaret ที่สนใจในตัวผู้กำกับฯ/ผู้ออกแบบท่าเต้นของหนังบ็อบ ฟอส และความชื่นชอบโอเปร่า ตัวเอกของเรื่องที่มีเสน่ห์รวมถึงมิค แจ็กเกอร์และเดวิด โบวี่ที่อยู่รุ่นเดียวกันกับเขา “รามี่กับฉันฝึกแสดงท่าทางแบบโบวี่หรือการขยับมือแบบลิซ่า มินเนลลี่จากการแสดงของเขาช่วงต้นยุค 70 ที่หลังจากนั้นได้หายไปเมื่อเขาเริ่มแสดงท่าทีเรื่องการรักร่วมเพศ เราต้องจำไว้ว่าการรักร่วมเพศคือเรื่องที่อภัยได้ในช่วงที่เขาอายุ 20 ปี ซึ่งมันส่งผลอย่างมากต่อทัศนคติของเขาที่มีต่อผู้อื่น แต่ยิ่งเขาแต่งเพลงมากขึ้นและมีชื่อเสียง เขาก็ยิ่งมีความกล้ามากขึ้น”

ในฉาก Live Aid มีความท้าทายอยู่ในตัวมันเองสำหรับเบ็นเน็ตต์ โดยเฉพาะยิ่งพวกเขาเริ่มถ่ายทำกันอย่างถูกต้อง “เฟรดดี้ต้องแสดงต่อหน้าผู้ชมจำนวนมหาศาล” เธอกล่าว “ฉะนั้นฉันต้องทำให้รามี่อยู่ในจุดที่เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วและว่องไว เราเริ่มต้นจาก ‘Radio Ga Ga’ และทุกอย่างก็เรียบร้อยภายใน 3 ชั่วโมง ทุกแววตาที่จ้องมอง ทุกการหมุน ทุกการเหวี่ยงไมโครโฟน เขาเก็บเกี่ยวได้อย่างรวดเร็ว และมีความคล่องแคล่ว ดูมีชีวิตชีวาเป็นธรรมชาติ เขาสามารถครองเวทีและสะกดทุกคนที่นั่นไว้ได้ ความท้าทายที่แท้จริงของเขาคือการค้นหาความแข็งแรงของท่าทางให้ได้”

ฉากหนึ่งที่สนุกสุดสำหรับเบ็นเน็ตต์คือตอนแสดงเพลง “Killer Queen” ในงาน Top of the Pops “เฟรดดี้ดูหรูสะดุดตามากในงานนั้น” เธอกล่าว “มีทั้งเสื้อคลุมขนสัตว์ ทาสีเล็บ สวมแหวน มีการแต่งตัวและไว้ผมยาว เขาเป็นคนรูปร่างผอม ดูเจ้าเล่ห์ มีท่าเดินและการโพสต์ท่าที่ดูสง่า รามี่ต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง เขาเลยรู้สึกสนุกที่ได้ศึกษารายละเอียดเหล่านั้น เฟรดดี้ไม่มีความกดดันเรื่องการร้องสดเลย เพราะมันเหมือนการแสดงละครใบ้ที่ทำให้เขาออกท่าทางที่ดูเกินจริงได้”

สำหรับการร่วมงานกับเบ็นเน็ตต์ถือเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับมาเล็ค โดยนักแสดงชายอธิบายว่า “เราไม่อยากแกล้งแสดงให้เหมือนเฟรดดี้ แต่อยากทำความเข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น การได้ดูการแสดงทั้งหมด หนังต่างๆ และผู้ออกแบบท่าเต้นที่มีอิทธิพลต่อเขาถือว่าเป็นประโยชน์มาก ทำให้เข้าใจการเคลื่อนไหวและการแสดงของเขาได้ดี”

สิ่งที่พวกเขาต้องทุ่มเทอย่างหนักคือฉาก Live Aid “การก้าวขึ้นเวทีนั้นในฉาก Live Aid เป็นความรู้สึกที่ยากจะลืมเลยครับ” มาเล็คกล่าว “แม้ว่าตรงนั้นจะไม่มีผู้ชม แต่มันก็ทำให้รู้สึกสติแตกได้พอตัว แต่ก็ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาด้วย พวกเขาต้องสร้างเวทีขึ้นมาใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ และเราจะได้ความรู้สึกที่เหมือนเป็นคอนเสิร์ตจริงเลย”

กราแฮม คิงเล่าว่า “เราไม่อยากแกล้งแสดงเป็นเฟรดดี้ เราอยากให้รามี่ถ่ายทอดความเป็นตัวเขาออกมา แต่เราก็อยากรักษาการเคลื่อนไหวที่เป็นเอกลักษณ์ของเฟรดดี้เอาไว้ พอลลี่ผสมผสานมันได้อย่างดีเยี่ยม เธอกับรามี่ร่วมงานกันอย่างเต็มที่เพื่อสร้างตัวละครนั้นขึ้นมา รามี่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ผมเคยดูเรื่อง Mr. Robot ฉะนั้นผมรู้ว่าเขาสามารถถ่ายทอดออกมาได้ แต่ความกดดันในการรับบทผู้มีชื่อเสียงก็สูงมาก เราคุยกันเรื่องวงดนตรีที่มีแฟนนับล้านและกำลังเฝ้ารอหนังเรื่องนี้ เราจะทำให้แฟนวงควีนประทับใจได้มั้ย หมายถึงแฟนที่เคารพรักในควีน? รามี่เหลือเชื่อมากครับ ผมพูดด้วยคามภูมิใจได้เลยว่านี่เป็นหนึ่งในสุดยอดการแสดงที่ผมไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว”

ไอแดน กิลเลน ผู้รับบทจอห์น รี้ดเองก็รู้สึกชื่นชมในตัวรามี่ มาเล็ค “การแสดงของรามี่ถือเป็นสิ่งที่วิเศษมากครับ” เขากล่าว “มันมีทั้งรายละเอียด ความกระตือรือร้น ความเสี่ยง เป็นการแสดงที่ชวนขนลุก”

“รามี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” กวิลิม ลี ผู้รับบทไบรอัน เมย์ยืนยัน “เขาแทบจะอยู่ในทุกฉากของเรื่อง เขาต้องทำงานอย่างหนัก เฟรดดี้มีคนรักเป็นล้านและความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่มาจากจุดนั้น รามี่ถ่ายทอดทั้งความหลงใหลและพลังของเขาเอาไว้ได้ดี และเขาทำให้เขาตัวละครนี้มีความอ่อนโยนและมีความมนุษย์ในแบบที่ผมคิดว่ามีคนจำนวนไม่มากรู้เรื่องนี้ สำหรับฉากคอนเสิร์ตรามี่เรียนรู้ทุกสิ่งจากเฟรดดี้ จากนั้นก็ลืมมันไปและปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติ ณ ช่วงเวลานั้น เขาแสดงออกมาได้วิเศษสุดๆ เลย”

ผู้ควบคุมด้านการคัดเลือกนักแสดง ซูซี่ ฟิกกิส เป็นผู้เลือกนักแสดงที่เหลือมาร่วมทีม กราแฮม คิงเล่าว่า “เราไม่ต้องการนักแสดงชื่อดัง เราอยากได้นักแสดงมีฝีมือที่สามารถถ่ายทอดตัวตนออกมาได้ หากผู้ชมไม่อินกับตัวละครในช่วง 20 นาทีแรกเท่ากับเราเสียผู้ชมไปเลย นั่นถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง” จิม บีช กล่าวเสริมว่า “ซูซี่สร้างผลงานได้อย่างน่าทึ่ง ถือว่าเหมาะสมลงตัวกับพวกเรา แม้จะเป็นเรื่องเศร้าของวงการที่เธอตัดสินใจแล้วว่าจะให้เรื่อง Bohemian Rhapsody เป็นหนังเรื่องสุดท้ายของเธอ”

ลูซี่ บอยน์ตัน เพิ่งมีผลงานแสดงในเรื่อง Sing Street และ Murder on the Orient Express มารับบทแมรี่ ออสติน คนรักของเฟรดดี้ที่ยังคงมิตรภาพความเป็นเพื่อนเอาไว้แม้ว่าความรักจะจบลง

“ฉันคิดว่าแมรี่เห็นบางอย่างในตัวเฟรดดี้ ซึ่งต่างจากผู้ชายทั่วไปที่เธอรู้จัก” เธอกล่าว “มันมีความสดใสที่เขาแสดงออกมา และมีช่วงเวลาที่เธอเห็นเขามองตัวเองในกกระจก นั่นเป็นช่วงเวลาที่งดงามมากค่ะ เวลาที่เราเห็นใครสักคนพยายามตีค่าความเป็นตัวของตัวเอง พยายามเป็น “ตัวเอง” ในอีกแบบหนึ่ง นั่นคือสิ่งที่ทำให้แมรี่หลงใหล ยิ่งพอเขาสนุกกับเครื่องแต่งกายและผ้าพันคอ เธอเลยรู้ว่าเขาคือใคร ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ทำให้เธอตื่นเต้นมาก”

สำหรับมาเล็คแล้ว แมรี่ถือเป็น “คนที่ใกล้ชิดเฟรดดี้ที่สุดในชีวิตของเขา เธอเป็นคนที่เขารู้สึกไว้ใจและวางใจได้ มันมีทั้งความรักและความผูกพันระหว่างพวกเขาที่ชัดเจนและปฏิเสธไม่ได้ เขาเรียกเธอว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย แมรี่ยอมให้เขาสร้างความมั่นใจและกล้าที่จะเป็นในแบบที่เขาเป็น นั่นคือสิ่งที่เพื่อนแท้มอบให้กัน ผมคิดว่าพวกเขาทำให้เรารู้สึกได้ถึงความมั่นใจ ได้พบกับความมั่นใจนั้นและแบ่งปันให้กับผู้อื่น”

บทภาพยนตร์คือสิ่งที่เรียกความสนใจให้บอยน์ตันมาร่วมงานในภาพยนตร์ “ฉันชอบบทภาพยนตร์มากค่ะ และมันทำให้ฉันเซอร์ไพรส์เพราะมีการฉลองแด่วงควีนเยอะมาก และมีทุกอย่างที่พวกเขาสร้างขึ้นมารวมถึงการฉลองให้เฟรดดี้ด้วย” เธอกล่าว “คุณจะพูดได้เลยว่าบทนั้นเขียนมาจากคนที่รักเขาจริงๆ ถือว่าเป็นการสำรวจลึกเข้าไปในชีวิตที่งดงามของเขา”

และบอยน์ตันยังรู้สึกสนใจมิตรภาพระหว่างเฟรดดี้กับแมรี่ด้วย “พลังที่พวกเขามีให้ต่อกันทั้งชีวิตทำให้ฉันรู้สึกบางอย่างค่ะ” เธอกล่าว “แม้ว่าจะเริ่มจากความสัมพันธ์แบบหนุ่มสาว มันมีอะไรที่ลึกซึ้งและสำคัญกว่านั้นสำหรับทั้งคู่ เธอเป็นเพื่อนที่สนิทกับเขาที่สุดและเขาเป็นของเธอไปจนวาระสุดท้ายของชีวิตเขา การถ่ายทอดความเข้าใจที่พวกเขามีให้กันถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับฉันมากค่ะ มันมีความบริสุทธิ์และต่างมองเห็นกันได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ต้องพิจารณาอะไรมากขึ้นกว่าตอนนั้น เฟรดดี้หลุดออกจากกรอบที่เขาเคยเข้าไปอยู่ และการที่เห็นว่าพวกเขายอมรับในตัวกันและกันจากใจจริงถือเป็นเรื่องที่งดงามมากค่ะ”

บอยน์ตันยังให้การตอบรับต่อเจตนารมณ์ของภาพยนตร์อีกด้วย “กราแฮม คิงอยากให้เป็นการฉลองของวงและสุดยอดผลงานที่พวกเขาสร้างขึ้นมา มันไม่ใช่แค่การทำงานฉาบฉวย การที่มีผู้นำที่มีความมุ่งมั่น มีความหลงใหล และความกระตือรือร้นถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก”

ซึ่งแน่นอนว่าไม่ต่างจากนักแสดงคนอื่นที่ความท้าทายอันยิ่งใหญ่คือการรับบทบาทของผู้ที่มีตัวตนจริง “มีความกดดันมากค่ะที่ต้องสวมบทบาทของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ จะได้รับความเห็นในหนังเรื่องนี้และการสวมบทบาทเป็นเธอ โดยเฉพาะในฉากระหว่างเฟรดดี้และแมรี่ในเรื่อง” บอยน์ตันกล่าว “มันเป็นช่วงเวลาที่มีความละเอียดอ่อนสำหรับพวกเขามากค่ะ ปฏิกิริยาแรกของฉันคืออยากปกป้องเธอ พยายามทำเหมือนไม่รู้ว่าการอยู่ที่ตรงนั้นรู้สึกแบบไหน ฉันต้องตีความออกมาในแบบของตัวเอง ฉันไม่เคยอยากคุยกับเธอเลยค่ะ ขณะที่สำหรับบทเฟรดดี้พวกเขาพยายามเลียนแบบเสื้อผ้าและท่าทาง สำหรับการแสดงเป็นแมรี่เราพยายามเลี่ยงความถูกต้องแม่นยำ มันมีการปกป้องเธออยู่ในรายละเอียด”

มาเล็ครู้สึกชื่นชมในตัวบอยน์ตัน เขากล่าวว่า “แมรี่เป็นคนที่เฟรดดี้ไว้ใจได้ทั้งกายและใจ เธอเป็นคนที่ทำให้เขามีความมั่นใจ คอยให้คำแนะนำและความมั่นใจที่เขาต้องการ และทำให้เขาได้พบความรู้สึกเคารพในตัวเอง เธอพูดในสิ่งที่ควรพูดในช่วงเวลานั้นที่สุด เธออมีความสำคัญในหนังเรื่องนี้มากครับ และเธอเป็นผู้ที่รักษาทุกอย่างเอาไว้ ฉะนั้นความมั่นใจของลูซี่ บอยน์ตันและความสามารถในการรับบทแมรี่ ออสติน ถือเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าขาดไม่ได้ในภาพยนตร์เลย”

สมาชิกในวง ได้แก่ ไบรอัน เมย์, โรเจอร์ เทย์เลอร์ และ จอห์น ดีคอน รับบทแสดงโดยกวิลิม ลี, เบ็น ฮาร์ดี้ และ โจ แมซเซลโลตามลำดับ

สำหรับลีเพิ่งมีผลงานล่าสุดในทีวีซีรีส์อังกฤษ เรื่อง Jamestown และ Midsomer Murders สำหรับบท เมย์ มือกีตาร์ของวงควีนเป็นบทที่ไม่สามารถหันหลังให้ได้เลย “ถือว่าเป็นเกียรติมากครับที่ได้สวมบทบาทของผู้มีชื่อเสียงในวงที่มีคนมากมายหลงรัก” ลีกล่าว “และผมรักที่ภาพยนตร์ถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างถึงแก่นของมนุษย์ โดยที่ผู้มีชื่อเสียงแห่งวงร็อคเหล่านี้ยังถูกถ่ายทอดออกมาสมจริงทุกคน พวกเขามาจากต่างถิ่นและต้องมีการฟันฝ่าอย่างหนักที่สหราชอาณาจักร เพราะพวกเขาไม่มีความสำเร็จเป็นที่นิยมอะไรเลย พวกเขาออกทัวร์ไปที่ญี่ปุ่น พอไปถึงที่นั่นก็เกิดความวุ่นวายอย่างหนัก พวกเขาเป็นที่ชื่นชอบอย่างมาก แต่เวลาที่พวกเขากลับบ้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

“วงดนตรีเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันและพวกเขาต้องการกันและกัน” ลีกล่าวต่อว่า “ไบรอันมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเรื่องพ่อของเขา เขาประสบความสำเร็จด้านการศึกษาระดับสูง เขากำลังศึกษาปริญญาเอกด้านดาราศาสตร์ในตอนนั้น เขาต้องทิ้งมันไปเพื่อมาอยู่ในวงนี้ ซึ่งพ่อของเขาไม่เห็นด้วย จนกระทั่งพวกเขาเดินทางไปที่ Madison Square Garden ช่วงกลางยุค 70 พ่อของไบรอัน ที่ไบรอันพาบินมาด้วยเครื่องบิน Concorde และให้พักโรงแรม 5 ดาวจนเขาเข้าใจได้ในที่สุด

ลีมีความมุ่งมั่นตั้งใจไม่ให้การแสดงของเขาดูไม่สมจริง “ผมอยากลองหาสิ่งที่ทำให้ไบรอันดูสมจริง” เขาอธิบาย “ปัญหาหนึ่งที่ผมพบคือข้อมูลเกี่ยวกับไบรอัน เมย์มากมาย และบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับวงที่นำเสนอเพียงด้านเดียวของตัวเรา เป็นด้านที่เราอยากให้โลกเห็นซึ่งมันไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด ผมเลยพยายามมองไปไกลกว่าฟุตเทจ เพื่อดูว่าอะไรทำให้ไบรอันโกรธหรือเศร้า และเขามีท่าทียังไงในช่วงเวลานั้น เพราะนั่นคือสิ่งที่เราเห็นตัวตนจริง ผมโชคดีมากที่ได้พบกับเขาในช่วงแรกขณะที่เรากำลังทำการซ้อมกัน เขาเดินมาหาผมและกอดผมแน่นมาก เขาทั้งตื่นเต้น ดูกระตือรือร้น และให้การสนับสนุนดีมากครับ เขาไม่เคยแสดงอะไรน้อยไปกว่านั้นเลย แม้แต่วันที่เราถ่ายทำฉากที่ผมบันทึกเสียงโซโล่ของ ‘Bohemian Rhapsody’ นั่นเป็นช่วงที่รู้สึกกลัวได้เลย แต่ผมก็อุ่นใจที่เขาอยู่ด้วย”

ลีใช้การฝึกซ้อมเพื่อเรียนรู้วิธีเข้าถึงตัวละครและเพื่อสร้างมิตรภาพกับเพื่อนร่วมแสดงของเขาให้แน่นแฟ้น “ความท้าทายเรื่องเพลงคือการพยายามศึกษาเพลงทั้งหมดนั้น แต่เราก็ต้องพยายามนำเสนอเกี่ยวกับวงดนตรีที่อยู่ร่วมกันมานานหลายปีด้วย พวกเขารู้จักกันอย่างทะลุปรุโปร่ง มีทั้งมิตรภาพและความผูกพัน เราฝึกซ้อมอย่างละเอียดไปพร้อมกับผู้ควบคุมด้านการเคลื่อนไหว พอลลี่ เบ็นเน็ตต์ การมีการออกแบบท่าทางเหมือนเป็นเกราะสร้างความปลอดภัย ฉะนั้นพอถึงฉากแรกที่เราถ่ายทำคือคอนเสิร์ต Live Aid เลยดูเหมือนผ่านประสบการณ์มาแล้วมากมาย กลายเป็นช่วงเวลาแห่งความฮึกเหิมจริงๆ มันน่าตื่นเต้นมากที่ได้สมบทบาทอย่างลึกซึ้งและมีความผูกพันกันครับ”

เบ็น ฮาร์ดี้ (ภาพยนตร์ทาง BBC-TV เรื่อง The Woman in White, Only the Brave) มารับบทมือกลองโรเจอร์ เทย์เลอร์ ที่ปรึกษาในเรื่องคู่กับไบรอัน เมย์ ฮาร์ดี้เล่าถึงการมารับบทของเขาว่า “มันเป็นภารกิจที่น่ากลัวสำหรับการรับบทโรเจอร์ เทย์เลอร์ เพราะเขาเป็นมือกลองที่เก่งมาก และในชีวิตผมไม่เคยตีกลองทั้งวันเลย ผมเลยไม่มั่นใจสักนิดตอนที่ออดิชั่นบทนี้! ผมบอกว่าผมตีกลองได้ ผู้กำกับฯ ตอบว่า ‘โอเค เยี่ยมเลย เล่นให้เข้ากับวีดีโอเพลงนี้ได้มั้ย?’ ผมก็ตอบไปว่า ‘ได้เลย แน่นอน ไม่มีปัญหา‘ จากนั้นผมกลับบ้านและซื้อชุดตีกลองที่ถูกสุดเท่าที่จะหาได้ จากนั้นก็ศึกษาทุกวันเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ ผมรวมเทปไว้แสดงในกรแคสติ้ง ซึ่งโชคดีที่ผมมีฝีมือดีพอ จากนั้นเวลาทำงานจริงคือเริ่มตีกลอง 10 ชั่วโมงอย่างจริงจังทุกวันกับครูสอนเบร็ตต์ มอร์แกน เรียกว่าเป็นคอร์สตีกลองที่รวดเร็วมาก”

ฮาร์ดี้จดจ่อกับสไตล์การใช้กล้ามเนื้อของเทย์เลอร์ในการตีกลองHardy “โรเจอร์มีเทคนิคบางอย่างที่ทำให้การตีกลองของเขาดูมีลีลา” นักแสดงกล่าว “เขาชอบควงไม้ตีกลอง ไม่ใช่รอบเดียวด้วย และเขาชอบถ่ายจากด้านมุม ตีกลองให้มีเสียงแหลมด้วยการตีจากขอบกลอง ด้านหน้าของกลองจะเป็นหนังที่ทำให้เกิดเสียงทุ้มใหญ่ การตีกลองของเขาดูเหมือนการแสดงมาก แม้แต่การ rim shot ก็มีจังหวะ และเขาชอบจังหวะการเคาะกลองด้านหลังโดยตี splashing the high hat. He also pours beer on his floor tom ฉะนั้นเวลาที่เขาตีกลองเบียร์ก็จะกระเด็นขึ้นมาสูงๆ อีกด้วย ผมพยายามทำทุกอย่างและมันช่วยเรื่องการรับบทโรเจอร์ของผม ตัวผมเต็มไปด้วยเบียร์หลังจากผ่านไปหลายเทค แต่มันก็สนุกมากเลยครับ”

หนึ่งในความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับฮาร์ดี้ คือการรับบทเป็นผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยแสดงมาก่อน เขายอมรับว่ามันทำให้เขาคิดได้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องแสดงเลียนแบบเทย์เลอร์ แต่ต้องแสดงออกมาให้ตรงกันข้าม “ผมต้องถ่ายทอดส่วนสำคัญของโรเจอร์ออกมา และส่วนสำคัญที่ชัดเจนที่สุดที่ผมแสดงออกมาได้ ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาเนื้อหาและจุดมุ่งหมายของหนังเรื่องนี้เอาไว้ด้วย ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลยครับ

“ผมรู้สึกกังวลมากที่จะต้องเจอโรเจอร์” ฮาร์ดี้กล่าวต่อว่า “ผมดูวีดีโอฟุตเทจของเขามาเป็นอาทิตย์ เหมือนผมกำลังสะกดรอยตามเขาอยู่เลย! ครั้งแรกที่เราพบกันผมกังวลว่าเขาจะรู้สึกยังไงที่ผมมาเล่นเป็นเขา แต่เขาให้กำลังใจดีมากและเข้าใจสถานการณ์ด้วย เพราะเขารู้ว่ามันต้องมีเรื่องการสร้างให้ออกมาดูงดงามเวลาที่สร้างหนังเกี่ยวกับชีวิตจริง เขาสอนวิธีตีกลองแบบสั้นๆ ให้ผมด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นแหละที่ทำให้ผมเครียดสุด ตอนที่เขาพูดว่า ‘เอาเลย นั่งแล้วตีให้ผมดูหน่อยว่าคุณเล่นอะไรได้บ้าง’ ผมกลัวสุดๆ เลย! แต่เขาก็คอยให้ความช่วยเหลือและสอนผมหลายอย่างเลยครับ”

สมาชิกคนที่ 4 ของวงคือมือเบส จอห์น “ดิ๊กซี่” ดีคอน รับบทโดยโจ แมซเซลโล่ นักแสดงชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงจากเรื่อง Jurassic Park และซีรีส์ทาง HBO เรื่อง The Pacific

“ผมเล่าถึงจอห์นว่าเป็นร็อคสตาร์โดยบังเอิญ” แมซเซโล่กล่าว “มันเป็นเรื่องปุบปับสำหรับเขา ขณะที่คนอื่นๆ ผมคิดว่าต่างอยากโตมาเป็นนักดนตรีชื่อดังกัน จอห์นมีความถนัดเรื่องเครื่องไฟฟ้าและการซ่อมทีวี เขารักการเล่นดนตรีและมีความสามารถพิเศษด้านนั้น แต่นั่นก็เล่นแค่สนุกๆ เขายังมีความสามารถด้านการแต่งเพลงอีกด้วย แต่เขาไม่เคยเชื่อว่ามันจะเป็นสิ่งที่เขาทำไปตลอดชีวิตได้ มันเหมือนกับฝันลมๆ แล้งๆ ก่อนที่เขาจะรู้ตัวพวกเขามีการออกทัวร์ที่อเมริกาและญี่ปุ่นกัน เขาเป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดและมาร่วมวงคนสุดท้าย ผมคิดว่าเขาต้องใช้เวลาหาตัวเองสักหน่อย เขาเป็นคนชอบเก็บตัวแต่ก็ชอบความสนุกสนาน แต่ในที่สุดเมื่อวงประสบความสำเร็จมากขึ้น เขาก็เริ่มแต่งเพลงฮิตของวงหลายเพลง จนเขากลายเป็นส่วนสำคัญของวงที่ขาดไม่ได้เลย”

บทภาพยนตร์ที่มีความดราม่าเร้าอารมณ์คือสิ่งที่แมซเซลโล่รู้สึกว่าน่าสนใจ “ผมคิดว่ามันมีความงดงาม มีการเล่าเรื่องราวการเดินทางของสมาชิกทั้ง 4 คนของวงควีนที่ผ่านมา” เขากล่าว “ผมพบว่าจอห์น ดีคอนมีความน่าสนใจมาก เขาดูเป็นคนลึกลับนิดๆ เขาทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินเวลาที่สมาชิกอีก 3 คนถกเถียงกัน เขาจะสรุปทุกอย่างด้วยคำพูดสั้นๆ เขาถนัดเรื่องการพูดเพียงประโยคเดียว การรับบทนี้ผมต้องเรียนรู้วิธีการเล่นดนตรี ฝึกสำเนียงแบบทางตอนกลางของอักฤษที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ทุกอย่างเป็นความท้าทายที่สนุกมากครับ และผมก็อยากมีส่วนร่วมมากด้วย”

สำหรับการเตรียมตัวรับบทนี้ แมซเซลโล่หาข้อมูลจากวีดีโอของวงทางอินเตอร์เน็ต “ผมเจอทุกบทสัมภาษณ์ของจอห์น ฟุตเทจการแสดงสดของเขา ทุกฟุตเทจที่เป็นเบื้องหลัง ภาพยนตร์สารคดีทุกเรื่องด้วย” เขากล่าว “ผมดูทุกอย่างจนสัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนแบบไหน เขามีความเหมาะสมยังไง เขารู้สึกยังไงที่ตัวเองมีบทบาทในวง และเวลาผ่านไปเขาเปลี่ยนไปยังไงบ้าง นั่นคือสิ่งที่ผมเรียกว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญ เราต้องให้ความสำคัญด้วยการถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นออกมาตามจริง แต่เรากำลังสร้างหนังอยู่มันก็มีโอกาส 99% ที่สิ่งต่างๆ ที่เราพูดจะไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ว่ายังไงเราสามารถพูดสิ่งต่างๆ และแสดงฉากต่างๆ ที่ผมเรียกว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญนั้นได้ นั่นคือวิธีการรับบทของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นผู้มีชื่อเสียง และเป็นผู้ที่ทุกคนจะมีความเห็นเกี่ยวกับตัวเขาชัดเจน”

แมซเซลโล่สนุกกับการปัดฝุ่นทักษะการเล่นกีตาร์ของเขาสำหรับหนังเรื่องนี้ เขาเคยเรียนกีตาร์นานเป็น 10 ปีและมีความถนัดด้านเบส “มือขวาใช้ยากกว่าเพราะมันต้องมีการเกากีตาร์เยอะมาก” เขาอธิบาย “เราต้องถือเบสอีกแบบหนึ่ง เราจะไม่มีการใช้ปิ๊กเลย เบสเหมือนเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเครื่องดนตรีที่ใช้ตีและกีตาร์ ฉะนั้นเรามักจะเล่นประสานเสียงมากกว่าเมโลดี้หลัก เราเลยต้องคิดถึงเสียงเพลงอีกแบบ ผมมีเวลาซ้อม 6 สัปดาห์และใช้เวลาช่วงนั้นศึกษาวิธีเล่นเพลง 25 เพลงหรือเพลงทั้งหลายเหล่านั้น แม้ว่าผมจะไม่ดูโน้ตเพลงเลย”

แมซเซลโล่มีความพิถีพินที่จะแสดงออกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน พิจารณาว่าการแสดงของเขาจะเข้าถึงผู้ชมขนาดไหน “เรารู้ว่าคนส่วนใหญ่ที่มาดูเรื่องนี้คือแฟนผู้คลั่งไคล้วงควีน” เขากกล่าว “ ผมตอบไม่ได้ว่ามีมือเบสกี่คนเข้ามาหาผมและถามว่าผมเล่นเพลงเหล่านั้นได้หรือเปล่า ผมรู้เลยว่าจะแสดงเล่นๆ ไม่ได้เลย ในฐานะของนักแสดงเราอยากอยู่บนเวทีและรู้สึกเหมือนเรากำลังเล่นเพลงพวกนี้อยู่จริงๆ นั่นคือสิ่งที่ท้าทายซึ่งผมสนุกกับมันครับ”

รามี่ มาเล็คเชื่อว่าการปรากฎตัวของไบรอัน เมย์และโรเจอร์ เทย์เลอร์จะช่วยเพื่อนร่วมแสดงของเขาได้มาก “การที่มีไบรอันและโรเจอร์อยู่รอบๆ ทำให้ทุกคนเข้าใจพวกเขาได้ดี กวิลิมและเบ็นเลยสามารถถ่ายทอดการแสดงของพวกเขาออกมาได้ดีด้วยเช่นกัน”

ซึ่งแน่นอนว่าทีมนักแสดงได้สร้างความประทับใจให้ไบรอัน เมย์ “ครั้งแรกที่ผมเดินเข้าไปในฉากและเห็นกวิลิมอยู่ในชุดของเขาพร้อมกับสวมวิก มันเหมือนเห็นตัวเองในกระจกเลย!” นักดนตรีกล่าว “เขาสวมบทเป็นผมได้ดีเยี่ยมเลย! ส่วนรามี่ มาเล็คก็เป็นเฟรดดี้ได้อย่างชัดเจนจนไปถึงการใช้ร่างกายสื่อสาร ส่วนโจ แมซเซลโล่ในบทดิ๊กซี่ก็ดูน่าขนลุก จอห์นไม่ใช่คนที่ชอบเข้าสังคมมากมายนัก แต่เขาก็มีวิธีแสดงออกที่ชัดเจน ซึ่งโจก็ทำได้ดีมาก เช่นเดียวกับเบ็น ฮาร์ดี้ที่ซึมซับจิตวิญญาณของโรเจอร์ เทย์เลอร์ได้จากการแสดงของเขา”

ไอแดน กิลเลน นักแสดงชาวไอริชผู้มีชื่อเสียงจากเรื่อง Game of Throne ในบท “ปีเตอร์ ‘ลิตเติลฟิงเกอร์’ เบลิช” มารับบทจอห์น รี้ด ผู้จัดการคนแรกของวงควีน สำหรับกิลเลนแล้วควีนและเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ครองความเป็นหนึ่งและอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ศิลปะวัฒนธรรมเลย

“เฟรดดี้ดูไม่เหมือนป๊อปสตาร์ในสมัยก่อน” เขากล่าว “แถมเขายังกลายเป็นสุดยอดนักแสดงและสัญลักษณ์ที่สื่อถึงเรื่องเซ็กซ์อย่างชัดเจน เขาเป็นคนที่เข้าสังคมไม่ได้แต่กลับพบหนทางในการกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลก เขาสร้างความสับสนให้ผู้คน สาวๆ คิดว่าเขาเป็นคนที่มีเสน่ห์และเซ็กซี่ ส่วนผู้ชายก็คิดว่าเขาดูเท่ ควีนมีชื่อเสียงที่โด่งดังมาก แต่พวกเขาไม่เคยตามแฟชั่นเลย เหมือนพวกเขาทำตัวหลงยุคและหลงแฟชั่นตลอด ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเขายังคงความนิยม และเป็นเพราะเพลงต่างๆ มีความน่าทึ่งและล้ำสมัย มีการใช้วิธีอัดทับเสียงซ้อนหลายครั้ง มีคอร์ดดนตรีที่ล้ำสมัยเกินความคาดหมายซึ่งเป็นเรื่องไม่ธรรมดาสำหรับยุคนั้น”

อัลเล็น ลีชเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ Downton Abbey จากการรับบท “ทอม แบรนสัน” เขามารับบทพอล เพร็นเตอร์ ผู้จัดการส่วนตัวของเฟรดดี้ ผู้ทำให้เฟรดดี้อยู่ในห้วงแห่งความรัก ก่อนจะทรยศเขาอย่างแสนสาหัส

ลีชรู้เรื่องเกี่ยวกับพอล เพร็นเตอร์เพียงเล็กน้อย เขาเลยต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตัวละครอย่างจริงจัง

“พอล เพร็นเตอร์ถือเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายในชีวิตของเฟรดดี้” ลีชกล่าว “ยิ่งผมศึกษาข้อมูล ผมก็ยิ่งเข้าใจเหตุผลสำคัญที่สมาชิกในวงที่เหลือคุยกับเขา แต่ถึงยังไงเราก็ต้องระมัดระวังเสมอ เพราะเรากำลังแสดงเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริง เราต้องแน่ใจว่าจะไม่ตกหล่นรายละเอียดในช่วงที่สร้างภาพยนตร์ เพราะเราไม่อยากให้ตัวละครของเรามีเพียง 2 มิติ มันมีสาเหตุที่พอลเป็นคนแบบนั้น เราพยายามหาความสมดุลระหว่างการเคารพในเรื่องราวและการเคารพในตัวบุคคล

“พอลเข้ามามีส่วนร่วมเพราะวงต้องการผู้ช่วยส่วนตัว และเขาก็มีความสัมพันธ์กับเฟรดดี้ เพราะทั้งคู่เป็นเกย์เหมือนกัน” ลีชเล่าต่อว่า “ในช่วงนั้นเฟรดดี้ไม่ได้ออกไปไหนเลย พอลทำให้เขาได้มองเห็นว่าโลกเป็นแบบไหน บรรยากาศของการเป็นเกย์เป็นยังไง เขาแสดงความเป็นผู้หญิงออกมาจากนั้นได้เลื่อนขั้นจากผู้ช่วยของวงเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเฟรดดี้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาเหมือนยาพิษในช่วงที่พอลดึงเฟรดดี้ออกจากวง แนะนำให้เขาเป็นศิลปินเดี่ยว จากนั้นใช้เล่ห์เหลี่ยมจัดการจอห์น รี้ด”

สำหรับลีชมี 3 ฉากที่มีความสำคัญต่อเฟรดดี้และความสัมพันธ์ของพอล ฉากแรกคือที่ Rockfield Farm Studios ตอนที่วงกำลังอัดอัลบั้ม "Bohemian Rhapsody" และพอลจูบเฟรดดี้ คนอื่นเลยเข้าใจเรื่องราวระหว่างพวกเขา ฉากที่สองเกิดขึ้นที่มิวนิคตอนที่เฟรดดี้พบความจริงและขับรถกลางสายฝน ผลักไสพอลออกไปจากชีวิตของเขา “เฟรดดี้ได้รู้ว่าพอลไม่เคยจริงจังกับเขา พอลทำเพื่อตัวเอง ตอนที่เฟรดดี้พูดว่า ‘คุณถูกไล่ออก ไม่มีคุณอีกแล้ว’ มันเหมือนกับฉากที่เป็นการบอกเลิกมากกว่าการไล่ออก ถือเป็นการแสดงที่มีความงดงามมากครับ”

นักแสดงคนอื่นยังมีทอม ฮอลแลนเดอร์ เจ้าของรางวัล BAFTA® (The Night Manager) ในบทจิม “ไมอามี่” บีชที่เริ่มจากเป็นทนายให้วงและต่อมากลายเป็นผู้จัดการ และอารอน แม็คคัสเกอร์ (Shameless) ในบทจิม ฮัตตัน เพื่อนชายของเฟรดดี้ในช่วง 7 ปีสุดท้ายของชีวิตเขา

กราแฮม คิงมีความพร้อมด้วยทีมนักแสดงที่เข้ามาสนับสนุนการทำงาน “กวิลิม ลีพูดคำแรกกับเราตอนที่ออดิชั่นบทไบรอัน เมย์ และพวกเราก็ชนะ เบ็น ฮาร์มีบุคลิกที่เหมือนโรเจอร์มากในหลายๆ ด้าน โจ แมซเซลโล่มาจากนิวยอร์ค แต่เขามีความเป็นจอห์น ดีคอนในตัวสูงมาก ทอม ฮอลแลนเดอร์ รับบทจิม บีชได้อย่างเหลือเชื่อมาก โรเจอร์ เทย์เลอร์, ไบรอัน เมย์ และ จิม บีชต่างมารวมตัวกันจากการโน้มน้าวของอัลเล็น ลีชในบทพอล เพร็นเตอร์ เขาเป็นตัวละครที่ผู้ชมจะส่งเสียงโห่ร้อง แต่อัลเล็นได้ถ่ายทอดอารมณ์ลงไปในบทนั้นทำให้พฤติกรรมของเขาเป็นที่เข้าใจได้ ส่วนลูซี่ บอยน์ตันก็รับบทแมรี่ได้อย่างลงตัว คุณจะสัมผัสเคมีระหว่างเธอกับรามี่ได้”

คิงได้คุยเรื่องโปรเจ็กต์มาพักหนึ่งกับไมค์ ไมเยิร์ส เพื่อนของเขาซึ่งเป็นแฟนตัวยงของวงควีน และรู้สึกตื่นเต้นที่เขาจะมาร่วมงานในบทเรย์ ฟอสเตอร์ หัวหน้าค่ายเพลง EMI “เป็นเพราะ Wayne’s World มันทำให้เขาไม่ประทับใจสักเท่าไหร่ตอนที่เฟรดดี้นำเสนอ ‘Bohemian Rhapsody’ กับเขาและบอกว่าเพลงจะไม่เป็นเหมือน “เด็กวัยรุ่นเปิดเพลงเสียงดังและโยกหัวไปมา’ และไมค์ก็ตัดสินใจรับบทนี้ เขาวิเศษมากครับ!”

ภาพลักษณ์และสถานที่ต่างๆ

สำหรับการสร้างองค์ประกอบสำคัญ วงดนตรีและผู้นำที่มีสไตล์เป็นสิ่งสำคัญ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่การออกแบบ เครื่องแต่งกาย และสถานที่ต่างๆ ของภาพยนตร์คือองค์ประกอบสำคัญของเรื่อง ทั้งหนังงู เสื้อคลุมผ้าไหมผสมขนสัตว์ ห้องน้ำหินอ่อน ป้ายสิงโตที่ทำจากทอง ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนอยู่ในเรื่อง

ภารกิจการสร้างภาพลักษณ์ของเรื่องถือเป็นหน้าที่ของผู้ออกแบบฉากอารอน เฮย์ ที่มีความชำนาญด้านการหาสถานที่ซึ่งรวมถึง Bovingdon Airfield ในฮาร์ตฟอร์ดเชอร์ ผลงานมาสเตอร์พีซที่มีชื่อเสียง Hornsey Town Hall ในลอนดอนทางตอนเหนือ the LH2 Studios ในลอนดอนทางตะวันตก ไนต์คลับชื่อดังของลอนดอน Heaven and Edwardian ความงดงามของ Bromley Town Hall ในลอนดอนทางตะวันออกเฉียงใต้

กองถ่ายเลือกใช้ตึกทางตะวันตกเฉียงใต้ของลอนดอนเพื่อเป็นฉากเวทีขนาดใหญ่ของเรื่อง ซึ่งรวมถึงแซนซิบาร์ในปี 1950 ที่เราจะเห็นเฟรดดี้ตอนที่เขาเป็นเด็ก ฉากเวที Top of the Pops stage ที่เป็นจุดเปลี่ยนของวง Capitol Radio บ้านของครอบครัวบัลซาร่า Garden Lodge โรงแรมที่ริโอ เดอ จานีโร และบ้านฟาร์มที่เฟรดดี้แต่งเพลง "Bohemian Rhapsody” และสตูดิโอบันทึกเสียงอีก 3 แห่ง

เฮย์เริ่มจากคนหารูปของควีนและเมอร์คิวรี่ หลังจากที่คัดเลือกรูปนับพันมีหลายรูปที่ไม่มีวันที่ระบุ แต่ดูจากทรงผมของเฟรดดี้เป็นช่วงที่ผมสั้น พวกเขาสามารถสร้างไทม์ไลน์ไว้บนผนังได้ว่าเป็นช่วง 1970 ถึง 1986

เฮย์และทีมงานได้รับความช่วยเหลืออย่างมากจากไบรอัน เมย์ที่มอบเอกสารสำคัญให้เขา และปีเตอร์ ฟรีสโตนที่ปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต ซึ่งเป็นผู้ที่มอบภาพถ่ายส่วนตัวของเขาให้ทั้งหมด “ในแง่ของการค้นหาข้อมูลของเรา สิ่งเหล่านี้ทำให้เราก้าวกระโดดไปไกลกว่าการสะสมภาพต่างๆ จากแหล่งสาธารณะและหนังสือ” เฮย์กล่าว “การได้เข้าไปที่บ้านของไบรอันและได้เห็นของส่วนตัวของเขา มันทั้งเยอะและน่าตื่นเต้นมาก เขาเก็บตั๋วต้นขั้วไว้ทุกใบและโปสเตอร์ทุกรูป ทุกอัลบั้มที่พวกเขาผลิต แม้แต่เสื้อผ้าบางส่วนที่นักแสดงของเราได้สวมในหนังเรื่องนี้ด้วย

เฮย์เล่าต่อว่า “พอเราระบุช่วงเวลาได้ผมก็นึกถึงสีสัน และเลือกใช้สีตามยุค 1970, 1975, 1978, 1982 และอื่นๆ เรามีไทม์ไลน์ที่ยาวนานขึ้นและมีการทดสอบสีตามช่วงเวลานั้น เราพยามเลือกสีระหว่างที่ทำการสร้าง ทาสี ตกแต่งฉาก เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และทุกสิ่งทุกอย่าง ช่วงยุค 60 ที่จะเปลี่ยนเป็นยุค 70 จะเป็นสีโทนอบอุ่นเหมือนสีอโวคาโด ส้ม น้ำตาล ล้วนเป็นสีเอิร์ธโทน จากช่วงกลางถึงปลายยุค 70 จะเริ่มมีสีสันของดิสโก้ โทนสีจะเริ่มมีความสดใสมากขึ้นจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงต้นยุค 80 จะเป็นโทนสีนีออนและสีสว่างขึ้น ในยุคที่ต่างกันจะให้ภาพลักษณ์ที่โดดเด่นขึ้นมา ถือเป็นการทำงานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่งมากครับ ช่วงเวลา 15 ปีตั้งแต่ 1970 จนถึง 1985 มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น และมันมีอะไรให้เล่นหลายอย่าง”

ฉากหนึ่งที่สำคัญในช่วงแรกคือบ้านของครอบครัวเฟรดดี้ที่เฟลแธม มิดเดิ้ลเซ็กซ์ เฮย์และทีมงานของเขาโชคดีที่ได้เข้าไปในบ้านจริงของบัลซาม่า ซึ่งตอนนี้เป็นบ้านของครอบครัวอื่นไปแล้ว “การได้ยินในห้องที่เคยเป็นห้องนอนของเฟรดดี้ เราสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในช่วงนั้น” เขากล่าว “เรามีบ้านและเพื่อนบ้าน เราทำให้มันใหญ่ขึ้นเพื่อจัดฉาก และใส่กลิ่นอายความเป็นเราลงไป ในช่วงนี้ของหนังเฟรดดี้ยังเป็นเด็กนักเรียนศิลปะอยู่ เฮย์จึงสร้างห้องนอนที่มีสมุดวาดภาพและร่างแบบขึ้นมา เราพยายามสื่อออกมาในเชิงสถาปัตยกรรมเพื่อเล่าเรื่องราวของยุคนั้นที่เขาโตขึ้น และสภาพเศรษฐกิจในช่วงที่เขาโตขึ้นมา เราเลยรวมภาพที่ได้อิทธิพลมาจากอินเดียและ(ซิบาร์ลงไปด้วย”

แน่นอนว่าเฮย์ร่วมงานกับหัวหน้าแผนกต่างๆ เพื่อสร้างขั้นตอนการถ่ายทอดเรื่องราวของหนังออกมาทางภาพที่เห็น “หัวหน้าแผนกต่างๆ ต้องช่วยกันสร้างผลงานสุดท้ายขึ้นมา เรารู้ดีว่ากำลังสร้างภาพที่สะท้อนถึงชีวิตจริง แต่ก็ต้องมีการเล่าเรื่องราวที่เราพยายามสื่อด้วย” เขาอธิบาย “การคุยกันช่วงแรกกับตากล้องทอม ไซเกล ช่วยให้เรากำหนดสีสันเหล่านั้นขึข้นมาได้ จนไปถึงเรื่องไฟบนเวทีเพราะการจัดแสงคือเรื่องสำคัญของงานแสดงสด เราอยากแน่ใจว่าคอนเซ็ปต์เหล่านั้นจะอยู่ในภาพที่กำหนดเอาไว้ ทอมเป็นตากล้องที่น่าทึ่งมากครับ เขาใส่ใจในรายละเอียดอย่างเหลือเชื่อ เช่นเดียวกับผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายจูเลียน เดย์ อย่างเช่นบ้านของเฟรดดี้ Garden Lodge สีสันเสื้อผ้าของจูเลียนที่เลือกมาช่วยทำให้ฉากดูสมบูรณ์แบบมากขึ้น”

เฮย์ยังได้รับความช่วยเหลือจากที่ปรึกษาด้านดนตรี พีท มาแลนโดรน เพื่อสร้างความมั่นใจเรื่ององค์ประกอบของเสียงดนตรีในเรื่องที่สมจริง เครื่องดนตรีหลายชิ้นเป็นของมือสองจากยุค 1970 จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาของเลียนแบบเพื่อมาใช้ในเรื่อง แต่มาแลนโดรนผู้รับบทเป็นคนยกกีตาร์ให้ไบรอัน เมย์สามารถให้ยืมเครื่องดนตรีเพื่อนำมาจัดฉากจากของสะสมของเมย์ได้ รวมถึงกีตาร์สีขาวที่กวิลิม ลีเล่นในฉาก Rockfield Studio ด้ย เขาให้คำปรึกษาเรื่องการออกแบบ การตกแต่งกีตาร์ที่จะมาใช้ในเรื่อง “ตัวอย่างเช่นกีตาร์ตัวแรกของไบรอัน Red Special ที่เขายังคงเล่นอยู่ มันผลิตขึ้นโดยพ่อของไบรอันจากสิ่งที่อยู่รอบบ้าน ผ้าคลุมเตาผิง เข็มถักไหมพรม ปริงมอเตอร์ไซค์ กระดุมมุก แต่ตอนนี้เป็นเวลา 50 ปีแล้วและมันดูเก่ามาก ฉะนั้นทีมจัดฉากจึงสร้างเลียนแบบขึ้นมาให้ดูใหม่ขึ้น” เขากล่าว

การสร้างของเลียนแบบขึ้นมาทำขึ้นโดยแอนดรูว์ กายตัน เขาเป็นคนสร้างเลียนแบบของสะสมส่วนตัวจากไบรอัน เมย์ “แอนดรูว์เป็นคนที่มีฝีมือมากครับ” มาแลนโดรนกล่าว “ทุกอย่างที่มีรายละเอียด เขาจะใส่ใจทุกรายละเอียดนั้นเลย”

ฉากที่ใหญ่และท้าทายที่สุดฉากหนึ่งคือการสร้าง Live Aid ขึ้นมาที่สเตเดียม Wembley ชื่อดังที่ลอนดอน ภารกิจแรกคือการหาพื้นที่ว่างและกว้างมากพอที่จะสร้างเวทีขนาดจริงขึ้นมา ตั้งถ่ายทำตั้งแต่ตอนที่เมอร์คิวรี่เดินทางมาถึงที่ Wembley ไปจนถึห้องแต่งตัวของเขา เข้าไปยังหลังเวทีและบนเวทีที่มีผู้คนมากมาย หลังจากหาสถานที่หลายแห่งมากพอ เฮย์และทีมงานของเขาได้พบกับ Bovingdon Airfield ที่ฮาร์ตฟอร์ดเชอร์ ซึ่งมีลานที่เรียบพอจะสร้างฉากนั้นขึ้นมาได้ ทีมงานยังพบกับอีกหลายปัจจัยในช่วงซัมเมอร์ที่อังกฤษช่วงเดือนกรกฎาคมตอนที่กำลังสร้างฉากอยู่ จากนั้นเป็นช่วงกันยายนที่กำลังถ่ายทำภาพยนตร์ที่อากาศเหมือนช่วงหน้าหนาวของแคลิฟอร์เนีย

เฮย์ได้เพิ่มความท้าทายด้วยการค้นหารูปหรือภาพวาดของสเตเดียมเมื่อปี 1985 จากนั้นได้ทำบลูปรินท์สเตเดียมต้นฉบับที่สร้างขึ้นเมื่อปี 1930 ขึ้นมาซึ่งง่ายต่อการสร้างขึ้นมา แต่มีการสร้างขึ้นใหม่ในภายหลัง ทีมผู้ออกแบบต้องพยายามค้นหาข้อมูลต้นฉบับที่แสดงให้เห็นว่า Live Aid มีหน้าตาแบบไหน

“เราต้องสร้าง Wembley ขึ้นมาใหม่จากภาพในยุคนั้น รวมถึงฟุตเทจจากภาพยนตร์สารคดีของ Live Aid แต่เราก็สร้างฉากขึ้นมาใหม่ด้วยเพื่อให้ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ดีเยี่ยม” เฮย์กล่าว “ในความเป็นจริงแล้วหลังเวทีจะมีรถเทรลเลอร์หลายคันมากที่อยู่ด้านนอกสเตเดียม เราเลือกที่จะนำรถเทรลเลอร์ที่อยู่ด้านหลังมาไว้ด้านหน้าเพื่อก้าวไปสู่เวที เรามีการสร้างพื้นที่สำหรับทีมงานหลังเวทีขึ้นมาด้วยรถเทรลเลอร์แอร์สตรีม มีร่มกันแดดในสวนและเก้าอี้เพื่อสร้างความสนุกสนาน บรรยากาศทั้งภายในและภายนอกมีความอึกทึกตลอดทางเดินไปสู่เวที

“เราสร้างแท่นยกขึ้นจากพื้นขนาดใหญ่ราว 18 ฟุตกลางอากาศ ซึ่งพอดีกับส่วนสูงของเวที Wembley ในงาน Live Aid” ผู้ออกแบบเล่าต่อว่า “จากนั้นได้สร้างขึ้นมาคลุมพื้นที่หลังเวที ฉะนั้นจะมีเรื่องการคลุมสภาพอากาศด้วย เรามีการสร้างนั่งร้านขนาดใหญ่ขึ้นมาเหมือนที่ Live Aid รวมถึงโปสเตอร์ทั้งหมด ป้ายขนาดใหญ่ และโลโก้ต่างๆ ที่ตกแต่งรอบเวที”

สำหรับโชคครั้งใหญ่คือทีมงางนมีสมาชิก 2 คนในทีมก่อสร้างที่เคยสร้างเวทีจริงให้งาน Live Aid เมื่อปี 1985 ด้วย

ผู้ช่วยส่วนตัวของเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่อย่างปีเตอร์ ฟรีสโตนอยู่กับเขาเป็นเวลานาน 12 ปีจนเขาเสียชีวิตลงได้มาเป็นที่ปรึกษาให้ภาพยนตร์ด้วย ซึ่งข้อมูลความรู้ส่วนตัวจากเขาเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก เขาอธิบายถึงพื้นที่หลังเวทีของาน Live Aid เพื่อช่วยเฮย์และทีมงานของเขาในการสร้างบรรยากาศที่สมจริงขึ้นมา

“เมื่อเราเดินทางไปถึงเราสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้น” ฟรีสโตนกล่าวถึงวันที่ยิ่งใหญ่เมื่อเดือนกรกฎาคม 1985 “มันเป็นบรรยากาศที่ดี รู้สึกถึงความเป็นมิตร และไม่มีการแข่งขันที่มักเกิดขึ้นบ่อยๆ เวลาที่มีการจัดเรียงคิว เมื่อควีนขึ้นเวทีผู้ชมต่างแสดงความคลั่งไคล้ออกมาตั้งแต่เริ่มเพลง ‘Bohemian Rhapsody’ บรรยากาศหลังเวทีก็เปลี่ยนไปกลายเป็นมีความตื่นเต้น มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น 18 นาทีต่อมาวงดนตรีลงจากเวทีและพวกเขาได้สร้างปรากฎการณ์เอาไว้ ผู้ชมทั้งแสดงความคลั่งออกมาและทุกคนที่อยู่หลังเวทีพากันปรบมือ”

งานยากๆ ทั้งหลายทำให้พวกเขาได้รับผลตอบแทนเป็นกำไรที่ดีงาม “มันวิเศษมากครับ” เมย์กล่าว “ช่วงที่ผมเดินบนเวทีมันรู้สึกเหมือนฝันเลย เพราะมันจำลองเหมือนเวทีในปี 1985 มาก ทุกรายละเอียดไปจนถึงถึงแอมป์ที่อยู่หลังผม กระเดื่อง เสื้อผ้า และหลังเวทีที่มีก้นบุหรี่ ที่เขี่ยบุหรี่และขวดโค้ก พวกเขาสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมากครับ!”

ปีเตอร์ ฟรีสโตนรู้สึกทึ่งกับความสมจริงของฉากมาก “มันเหมือนเดจาวูเลยครับ” เขากล่าว “ครั้งแรกที่ผมเห็นฉากผมแทบไม่อยากเชื่อเลย มันมีขนาดเท่าของจริง ทุกอย่างถูกต้องตั้งแต่เวทีไปจนถึงฉากหลัง แม้แต่การเพ้นท์ผนังกำแพงและคราบสนิมที่ไหลตามแนวน้ำจากท่อ ทุกอย่างเหลือเชื่อมากเลยครับ”

ทีมนักแสดงเองก็รู้สึกตกใจกับผลงานของเฮย์ กวิลิม ลีผู้รับบทไบรอัน เมย์เล่าว่า “ฉากมีรายละเอียดที่งดงามมากจนพาเราเข้าไปสู่โลกใบนั้นได้ ฉากต่างๆ ทำให้การแสดงง่ายขึ้นมาเพราะเราไม่ต้องนึกภาพอะไรเลย มันมีทุกอย่างที่คิดเอาไว้ และมันเป็นภาพที่งดงามมาก”

“นั่นเป็นครั้งแรกที่เราเห็นวงดนตรีของเราสวมบทบาทตัวละคร” เฮย์กล่าว “มันสนุกมากครับ ผมคิดว่าเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่เราไม่มีวันลืมเลย ได้ยืนข้างไบรอันและโรเจอร์ระหว่างที่พวกเขาดูวงดนตรี”

สำหรับกราแฮม คิง ฉาก Live Aid มีผลต่ออารมณ์อย่างรุนแรงมาก “ผมถึงกับอึ้งไปเลย” เขายอมรับ “ผมน้ำตาคลอไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นในฉากหนังเรื่องไหนมาก่อน เหตุการณ์ทั้งหมดมันย้อนกลับมาไม่ใช่แค่เพื่อหนังเรื่องนี้เท่านั้น แต่ได้กลับไปเป็นวัยรุ่นและดู Live Aid ด้วย เรารู้ว่าเราสร้างมันได้อย่างถูกต้อง ทั้งการเคลื่อนไหว ภาพลักษณ์ ฝูงชน ทุกอย่างเป๊ะมาก และมันรู้สึกว่าใช่ตั้งแต่ตอนซ้อมกันครั้งแรกๆ ซึ่งเป็นช่วงอาทิตย์แรกของการถ่ายทำ เราถ่ายทำกันหลายเทคอย่างยาวนานช่วงกลางคืน ทั้ง 4 คนอย่างรามี่ กวิลิม เบ็น และโจต่างอินกับตัวละครของพวกเขาอย่างเต็มที่ พลังของพวกเขาเต็มเปี่ยมจนไม่มีใครอยากหยุด! พวกเราร่วมมือกันและเรารู้ว่ากำลังสร้างสิ่งที่มีความพิเศษมากขึ้นมา Live Aid มีความสำคัญมากครับ เป็นเหตุการณ์ที่ทรงคุณค่าที่เรารู้สึกว่าเป็นเกียรติ ตั้งแต่การก่อสร้างฉากไปจนถึงเสียงดนตรี บรรยากาศ งานแสดง ผมคิดว่าพวกเราทำสำเร็จแล้ว”

สถานที่สำคัญแห่งหนึ่งคือฟาร์มที่วงควีนใช้บันทึกเพลง "Bohemian Rhapsody" ในความเป็นจริงแล้วเพลงนั้นใช้สถานที่บันทึกเสียง 2 แห่งคือ Rockfield Farm และ Ridge Farm ในเวลส์ ทำให้วงดูโดดเดี่ยวและอ้างว้างเหมือนอย่างวงดนตรีหลายวงในช่วงนั้นต้องการ Rockfield Farm ยังคงเป็นสตูดิโอบันทึกเสียงเช่นเดิม ซึ่งเฮย์โชคดีที่ได้เข้าไปดูการฉายภาพยนตร์สารคดีที่ไบรอัน เมย์และโรเจอร์ เทย์เลอร์กลับไปเยือนฟาร์มและเล่นเพลงทั้งหมด นอกจากนั้นยังมีการเลือกภาพของวงดนตรีจำนวนมากที่ Ridge Farm ทำให้ทีมสามารถผลิตเครื่องแต่งกายและฉากได้อย่างตรงตามจริง

เฮย์ตัดสินใจใช้ฟาร์มจริง 2 แห่งในภาพยนตร์ และสร้างสถานที่ขึ้นมาใหม่ที่ทำให้รู้สึกลงตัวมากที่สุด ทุ่งต้นโอ๊คอายุ 200 ปีที่อยู่นอกเมืองลอนดอนถูกใช้เป็นทุ่งที่มีม้า หญ้าแห้ง และปุ๋ยคอก เฮย์ทำความสะอาดที่แห่งนั้นและออกแบบให้เป็นสตูดิโอบันทึกเสียงในสไตบ์กลางศตวรรษ เฮย์สร้างห้องบันทึกเสียงขึ้นมาโดยอิงจากห้องบันทึกเสียงที่ Notting Hill ในลอนดอน ซึ่งมีกลิ่นอายของเรโทร มีหน้าตาเหมือนบ้านในหนัง Star Trek จากยุค 70 ทุกอย่างออกแบบให้สมจริงมากที่สุด ตรงตามแบบแม้กระทั่งแสงไฟที่ฉายตรงคอนโซล แผงควบคุม และแผงมิเตอร์

โทนสีของสตูดิโอเป็นสีตามยุค 1970 เฮย์กล่าว “เราสร้างโทนอบอุ่นแบบยุค 70 เลยเป็นสีน้ำตาล สีส้ม สีอโวคาโดเป็นส่วนใหญ่ ตอนที่ไบรอัน เมย์เข้าไปในฉากและเล่นโซโล่เพลง ‘Bohemian Rhapsody’ ผมถึงกับทึ่งมาก!”

เฮย์พิถีพิถันใส่ใจในรายละเอียดการสร้างฉากภายในขึ้นมา “เฟรดดี้และแมรี่อาศัยอยู่ที่แฟลต 2 แห่งก่อนที่พวกเขาจะแยกตัว เขาอธิบาย “เราสร้างแฟลตของเฟรดดี้และแมรี่ขึ้นมาจากแฟลต 2 แห่ง แต่พอเราทำการปรับเปลี่ยน เราพยายามรวมบางอย่างเข้าไปเพื่อสร้างความสมจริงขึ้นมา เช่นวอลเปเอร์ที่สร้างจำลองจากวอลเปเปอร์ที่พวกเขาใช้ในอพาร์ทเมนท์ ถูกต้องไปจนถึงรายละเอียดจุดแต่ละจุด และเฟอร์นิเจอร์หวายที่สร้างขึ้นใหม่เหมือนที่พวกเขาใช้”

สำหรับห้องสวีทของเฟรดดี้ในโรงแรมที่ริโอ เดอ จานีโร ซึ่งถ่ายทำที่เมืองยิลเล็ตต เฮย์ได้สร้างฉากที่มีความสว่างด้วยผนังจากผ้าไหม ม่านผ้าไหม กระจกรมควัน โซฟาหนังเตี้ยๆ และมีที่กั้นห้องสไตล์ญี่ปุ่น “เราได้แรงบันดาลใจจากแฟลทของเฟรดดี้ที่นิวยอร์ค ซึ่งปีเตอร์ ฟรีสโตนเล่าว่าเฟรดดี้ไม่เคยตกแต่งอะไรเลยหลังจากที่เขาย้ายเข้าไป มันเลยรู้สึกเหมือนเป็นโรงแรม ซึ่งดูสมจริงกับเรื่องราวของเรา”

บ้านของเฟรดดี้ Garden Lodge ที่ Earl's Court ทางตะวันตกของลอนดอนก็ดูชวนหลงใหล เป็นบ้านเดี่ยวที่รายล้อมไปด้วยตึกต่างๆ ที่แมรี่ ออสตินยังคงอาศัยอยู่ในทุกวันนี้ เฮย์พบกับบ้านหลังหนึ่งที่มีความคล้ายกันที่เซอร์บิตันทางตอนใต้ของลอนดอน เขาตกแต่งด้วยวอลเปเปอร์ที่มีลวดลาย โคมไฟกระเบื้อง ผลงานศิลปะของญี่ปุ่น พวกของเก่าและของตกแต่งบ้านที่ได้จากทั่วโลก เพื่อสะท้อนถึงสไตล์การออกแบบที่ไม่เหมือนใครของเฟรดดี้ แม้ว่าจะไม่สามารถจำลองการออกแบบภายในได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่เฮย์พิถีพิถันคือการจำลองบรรยากาศนั้นขึ้นมา ความทุ่มเทของเขาถือว่าสำเร็จเมื่อปีเตอร์ ฟรีสโตนที่อยู่บ้านหลังนั้นหลายปีร่วมกับเฟรดดี้ได้เห็นเป็นครั้งแรก เขาบอกว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนบ้านของเฟรดดี้เลย

เฮย์สนุกกับการตกแต่งฉาก Garden Lodge สำหรับงานปาร์ตี้สุดหรูที่เฟรดดี้ร้องเพลงอย่างสนุกสนาน “ต้องใช้ความสามารถด้านการสร้างสรรค์ขั้นสูงและใช้ความเสื่อมทรามขั้นต่ำที่สุด” ฉากแรกเป็นการถ่ายเดี่ยวโดยมีกล้องถ่ายจากทางเดินบนถนนด้านหน้า เข้าไปจนถึงประตูด้านหน้าและฝูงชนมหาศาล มีนักมายากล นักเต้นในกรง และกลุ่มคนที่แต่งตัวอย่างเต็มที่ จนกระทั่งเราเจอเฟรดดี้และตามเขาเข้าไปในบ้านที่มีการตกแต่งภายในอย่างเสื่อมโทรม

เฮย์ตกแต่งบ้านอย่างมีรายละเอียดหลายชั้น “อย่างแรกเรามีความหรูหรา จากนั้นใส่ความมัวเมาลงไป มันเป็นความสนุกที่เราพบได้ในช่วงเวลาเดียวกัน มีการแสดงภาพอาหาร ผลไม้ สิงโตทองสุดหรู เราอยากอ้างถึงสิ่งที่เฟรดดี้สนใจและประวัติความเป็นมาของควีน เช่น เรามีนักแสดงสมทบหญิงอยู่บนจักรยานที่ตั้งไว้นิ่งๆ จากวีดีโอ ‘Bicycle Race‘”

ฉากหนึ่งที่มีความสนุกสนานสำหรับเฮย์ในการสร้าง คือการจำลองวีดีโอ "I Want to Break Free" “การสร้างวีดีโอขึ้นมามีการบันทึกเอาไว้อย่างดี” เขากล่าว เราอยากสร้างให้ดูสมจริงมากที่สุด มันต้องดูผ่อนคลาย ต้องมีความสนุกสนาน เราเห็นฉากหลังและพื้นที่รอบๆ เราโชคดีพอที่เจอเครื่องดูดฝุ่นรุ่นเดียวกับที่เฟรดดี้ใช้ รวมถึงนาฬิกาปลุกที่มีไฟลุกขึ้นมาในช่วงเริ่มต้นวีดีโอ และเราใช้กล้อง 35 มม. อย่างที่เห็นในกล้อง เราถ่ายทำด้วยกล้อง 35 มม.แบบต้นฉบับเลย”

ความท้าทายอีกอย่างหนึ่งคือการหาสถานที่จำลองเป็น Madison Square Garden ที่ควีนแสดงคอนเสิร์ตเมื่อปี 1978 และบัตรขายหมดเกลี้ยง รวมถึงสเตเดียมอื่นๆ ที่ญี่ปุ่น บราซิล และสหรัฐฯ ที่เฮย์เลือก LH2 Studios ทางตะวันตกของลอนดอน เขาตกแต่งด้วยแบบต่างๆ ต้องมีการคำนวณเวลาเพื่อช่วยทีมงานในเวลา 1 วัน ระหว่างที่สตูดิโอจะใช้เป็นพื้นที่ในญี่ปุ่น ขณะที่ทำการเตรียมฉากต่อไปถือเป็นความท้าทายในแง่การคำนวณมาก โดยเฉพาะต้องมีการเปลี่ยนแสงไฟและเครื่องแต่งกายในช่วงเวลาหลายปี มันเป็นเรื่องง่ายที่จะให้นักแสดงเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบต่างๆ เล่นเพลงที่ต่างออกไปให้เหมาะกับช่วงปีนั้น แต่การนึกภาพการจัดแสงไฟบนเวทีและการออกแบบฉากจากปี 1973 ในเวลา 1 วันและวันต่อมาเป็นปี 1982 ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

“เราเลือกใช้ไฟลอยเพื่อเปลี่ยนสีไฟเข้าออกได้อย่างรวดเร็ว” เฮย์อธิบาย “แน่นอนว่าเราไม่สามารถใช้ไฟแอลอีดีแบบปัจจุบันได้ และไฟพวกนั้นร้อนมาก อุปกรณ์ที่เราสร้างขึ้นมาสำหรับฉาก Madison Square Garden ไม่ต่างจากเตาพิซซ่าเพราะมันเผาเราได้เลย! ด้านหน้าเวทีจะร้อนมาก แต่ก็ไม่มีใครบ่นเลย”

เครื่องแต่งกาย ทรงผมและเมคอัพ

ผู้ร่วมงานกับเฮย์เรื่องการสร้างภาพลักษณ์ของภาพยนตร์คือผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย จูเลียน เดย์ และผู้ออกแบบทรงผมและเมคอัพ แจน ซีเวล

สำหรับหัวหน้าทั้ง 2 แผนกนั้น การทำงานในหนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบมาก “ใครบ้างไม่อยากออกแบบให้หนังที่สื่อถึงวงดนตรีร็อคที่โด่งดังที่สุดและยังมีชีวิตอยู่?” เดย์กล่าว “ผมรู้สึกตื่นเต้นมากและถือเป็นความท้าทายขั้นสูงสุด ผมศึกษาข้อมูลไปเรื่อยๆ อย่างไม่สิ้นสุด และสิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่แค่การผลิตเครื่องแต่งกายให้เหตุการณ์ที่โด่งดังนั้น แต่ยังรวมถึงการได้เห็นบางส่วนชีวิตของวงที่ไม่มีการบันทึกเอาไว้ด้วย ผมอ่านอะไรหลายอย่างจากอินเตอร์เน็ตสำหรับการสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาใหม่ จนผมเจอผู้ผลิตเครื่องแต่งกายดั้งเดิมและออกตามหาพวกเขา เรายังได้รับเชิญจากไบรอัน เมย์และโรเจอร์ เทย์เลอร์ให้ไปดูข้อมูลเกี่ยวกับเสื้อผ้าของพวกเขาด้วย ซึ่งมันเป็นประโยชน์มากครับ”

จริงๆ แล้วไบรอัน เมย์แสดงความใจดีด้วยการให้ยืมคอลเลคชั่นเสื้อผ้าดั้งเดิมของเขาบางส่วนด้วย รวมถึงชุดคลุมที่ออกทัวร์ที่มีชื่อเขาอยู่ด้านหลัง ชุดยาวสีแดงและแจ็คเก็ตอีกหลายตัว รวมถึงชุดตัวหนึ่งที่ผลิตจากผ้าฝ้ายมีปกเงาที่เขาสวมให้เห็นในหลายรูปจากช่วงนั้น

“สำหรับฉากคอนเสิร์ต เราออกแบบชุดรัดรูปขึ้นมา 2 ชุดเป็นชุดรัดรูปสีดำขาว และชุดรัดรูปสีเงินวาวที่เลียนแบบมาจากชุดเดิม เราขอให้แซนดร้า โรดส์ออกแบบชุดค้างคาวสีขาวขึ้นมาสำหรับคอนเสิร์ต Budakon ปรากฎว่าชุดนั้นดัดแปลงมาจากชุดแต่งงานที่เธอออกแบบไว้ ซึ่งเมอร์คิวรี่หลงรักชุดนั้นตอนที่ไปเยี่ยมห้องทำงานของเธอ”

เครื่องประดับชิ้นหนึ่งที่โดดเด่นมากคือมงกฎของเฟรดดี้และผ้าคลุมสีแดงที่เขาสวมในฉากงานปาร์ตี้ที่ Garden Lodge โดยผลิตขึ้นจากคน 2 คนที่เคยเป็นผู้ผลิตผลงานนั้น

“เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายบางส่วนก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในหนัง แต่เราอยากรวมเครื่องแต่งกายของเขาที่มีความโดดเด่นบางส่นเอาไว้ เพราะเรารู้ว่านั่นคือสิ่งที่ทุกคนอยากเห็น” เดย์กล่าว

ภาพยนตร์เปิดฉากด้วยชานเมืองของลอนดอนปี 1970 ที่เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่โตขึ้นมาและสิ้นสุดลงในปี 1985 เขาต้องเดินทางข้ามหลายทวีป ซึ่งการเดินทางครั้งนี้จะบอกเล่าผ่านเครื่องแต่งกาย “สำหรับในฉากแรกๆ ผมอยากให้มันมีความเป็นยุค 60 มีความเป็นฮิปปี้และสื่อความรู้สึกถึงวู้ดสต็อค สีสันจะดูจางลงสำหรับอังกฤษในยุคนั้น หลังจากเกิด 3 เหตุการณ์ที่อังกฤษ ภาพยนตร์ได้ย้ายไปที่อเมริกาที่พวกเขาออกทัวร์และเป็นกลุ่มสนับสนุน 5 คอนเสิร์ตที่นั่น มันให้ความรู้สึกถึงความเป็นอเมริกาจริงๆ มีความเป็นตะวันตกด้วยผ้าหนังกลับ มีพู่ กระโปรงลายตารางหมากรุกและเสื้อคาวบอย ภาพยนตร์ย้ายไปที่ญี่ปุ่นที่เราเล่นสีสันมากขึ้นโดยการอิงจากป๊อปอาร์ต”

เมื่อเราเดินทางมาถึงช่วงนั้น เครื่องแต่งกายจะมีความหรูมากขึ้น สำหรับฉากที่นิวยอร์คในปี 1980 เป็นช่วงที่เฟรดดี้เริ่มสำรวจคลับสำหรับเกย์ในเมือง เดย์สังเกตผลงานของโรเบิร์ต แมพเพิลธอร์พจำนวนมาก ภาพถ่ายของย่านโรงแพคเนื้อสัตว์ในปี 1970 และหนังของอัล ปาชิโน่ เรื่อง Cruising เขาจับนักแสดงสวมชุดหนัง ชุดยาง ชุดเดนิม และมีการประดับด้วยโซ่ เพื่อสะท้อนถึงยุคใต้ดินของเมืองช่วงนั้น ขณะเดียวกันก็มีการสร้างสีสันด้วยโชว์ในที่ริโอ เดอ จานีโรด้วย

ความก้าวหน้านี้สะท้อนให้เห็นจากเสื้อผ้าของเฟรดดี้ “ตอนที่เขายังเด็กเฟรดดี้ทำงานในตลาดเคนซิงตันที่มื่อเสียงในลอนดอน ที่นั่นเป็นแหล่งรวมพ่อค้าของวินเทจ เป็นแหล่งของแฟชั่นดีไซน์เนอร์และผู้ให้ความสนใจด้านแฟชั่น และในปี 1970 เห็นได้ชัดว่าได้อิทธิพลจากแฟชั่นในยุค 1930 ตลาดเคนซิงตันมีทุกอย่างตั้งแต่ผ้าคลุมแนววินเทจไปจนถึงเสื้อผ้ายุค 1930 และเครื่องประดับต่างๆ เขารู้ดีเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้า ส่วนผมก็อยากเพิ่มเติมสิ่งต่างๆ ลงไปในเสื้อผ้าของเขา

“เฟรดดี้ดูมีสีสันมากขึ้นในปี 1970 และตอกย้ำถึงสิ่งที่เขาเคยพูดเอาไว้ผ่านเสื้อผ้าอีกด้วย” เดย์เล่าต่อว่า “และผมอยากใส่สีสันลงไปมากขึ้น ทำให้เขาดูสดใส ซึ่งเป็นการสื่อถึงตัวตนของเขา แต่ถึงแม้เขาจะดูมีสีสันสะดุดตาก็ยังคงความเป็นผู้ชายเอาไว้อยู่ด้วย มันน่าสนุกดีที่ได้รับบทของผู้ที่มี 2 ด้าน เมื่อเขาก้าวสู่ยุค 1980 ก็ดูมีความจริงจังมากขึ้น และผมอยากเล่าเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาผ่านเสื้อผ้า ผมใส่ใจเป็นพิเศษกับเรื่องที่เขารักชุดกิโมโนของชาวญี่ปุ่นหลังจากที่วงดนตรีได้เดินทางไปที่นั่น”

ผลงานของเดย์ไม่ทำให้ทีมนักแสดงผิดหวังเลย รามี่ มาเล็คเล่าว่า “จูเลียนเป็นคนที่มีความสามารถเหลือเชื่อเลยครับ ผมเคยเห็นผลงานของเขามากมายจากภาพยนตร์ และรู้ว่าผมไว้ใจเขาได้ เรามีเวลาเตรียมเครื่องแต่งกายราว 50 ชั่วโมง ซึ่งผมใช้ช่วงนั้นเป็นเวลาฝึกซ้อม มันก็สนุกดีครับ ผมใช้เวลานั้นดูว่าการเคลื่อนไหวร่างกายของผมจะเป็นยังไงในรองเท้าส้นสูงที่สูงจากพื้น 4 นิ้ว หรือกางเกงผ้าซาตินรัดรูป หรือเสื้อผ้าที่ใช้ผ้าไลคร่าทั้งชุด รวมไปถึงทรงผมและการแต่งหน้า เสื้อผ้าต่างๆ ช่วยทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นในการสวมบทบาทได้อย่างชัดเจน”

ซึ่งไม่ต่างจากเฟรดดี้ ไบรอัน เมย์และโรเจอร์ เทย์เลอร์เองก็มีสไตล์การแต่งตัวของตัวเอง สำหรับเสื้อผ้าของไบรอัน เมย์ เดย์จะรักษาโทนสีขาวดำเป็นส่วนใหญ่ การแต่งตัวของกวิลิม ลีจะเป็นชุดสีดำและขาว ขณะที่เบ็น ฮาร์ดี้ในบทโรเจอร์ เทย์เลอร์จะมีสีสันมากกว่า และจะชอบสวมเสื้อแขนกุดเป็นส่วนใหญ่ ชุดของจอห์น ดีคอนจะเป็นการผสมผสานของทั้ง 3 คนแต่ดูเป็นแนวชาวอังกฤษ ในฉากที่ Rockfield Farm เขาแทบจะสื่อถึงยุคของทอม เบเกอร์ที่ชอบใส่ผ้าพันคอและเสื้อโค้ทแบบชาวแอฟริกัน

กวิลิม ลีเล่าว่า “เครื่องแต่งกายเป็นส่วนหนึ่งของความสนุกสนานในภาพยนตร์ ผมโชคดีมากที่ได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อผ้าบางชุดของไบรอัน เมย์จากสมัยก่อน มันเป็นการเชื่อมโยงถึงตำนานที่เรากำลังแสดงอยู่ได้โดยตรงเลยครับ ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

แต่ถึงอย่างไรก็ตามเสื้อผ้าบางชุดก็ต้องระมัดระวังในการสวมใส่ “ผมสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีขาวและมีที่บุตรงไหล่ออกมาตรงนี้! ผมต้องพลิกตัวไปด้านข้างเวลาเดินผ่านกรอบประตู เพราะมันมีขนาดใหญ่มาก!” ลีกล่าว

สำหรับแมรี่ ออสติน ซึ่งเป็นตัวละครหญิงเพียงคนเดียวในเรื่อง เดย์ต้องอาศัยการคุยกับเพื่อนๆ และผู้ร่วมงานที่รู้จักเธอตอนนั้น แมรี่เคยทำงานที่ Biba ห้างสรรพสินค้าชื่อดังใน Kensington High Street ที่ลอนดอน ก่อตั้งโดยดีไซน์เนอร์บาร์บาร่า ฮูลานิคกิ ได้แรงบันดาลใจจาก Raphaelite ช่วงแรก มีการใช้ศิลปะการตกแต่งและสไตล์อาร์ต นูโว ดีไซน์ของฮูลานิคกิช่วงปี 1970 ยังรวมถึงชุดที่มีคาวมเบาบาง กางเกงขากว้าง เสื้อแขนกระดิ่ง และแจ็คเก็ตที่ทำจากเนื้อผ้าที่มีความหรูหรา เช่น ผ้าซาติน ผ้าไหมสีแดงเบอร์กันดี้ สีลูกพลัม และสีม่วงที่เป็นจุดเข้มและเป็นแถบทางยาว

“แมรี่เป็นนักแต่งตัวที่มีสไตล์มาก เธอจะอยู่ด้านหน้าห้างเพื่อนำเสนอลุคของบีบ้า “ เดย์กล่าว “เราพยายามสร้างลุคบีบ้าขึ้นมาใหม่ทั้งหมดซึ่งจะเห็นเธอในภาพนั้นตลอดทั้งเรื่อง ลูซี่ บอยน์ตันสนุกกับการสวมชุดแบบนั้น”

ลูซี่ บอยน์ตัน กล่าวชมว่า “จูเลียนและการออกแบบเครื่องแต่งกายมีความงดงามมากค่ะ และผลงานที่เราเห็นได้จำลองมาจากเสื้อผ้าจริงของของวงควีนบนเวทีที่ผลิตออกมาอย่างสวยงามมาก เสื้อผ้าของพวกเขาผลิตขึ้นด้วยมือและน่าอัศจรรย์จริงๆ”

เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมีการบันทึกข้อมูลเอาไว้ว่า มีชุดหนึ่งที่สมาชิกในวงสวมในงาน Live Aid ปรากฏอยู่ในวีดีโอ ซึ่งเป็นชุดที่ง่ายที่สุดและยากที่สุดสำหรับการสร้างขึ้นมาใหม่ เป็นชุดที่ง่ายที่สุดเพราะเดย์รู้ดีว่าเสื้อผ้ามีหน้าตาแบบไหน และยากเพราะการสร้างชุดนั้นขึ้นมาใหม่เป็นเรื่องที่แฟนๆ ยอมไม่ได้ นักวิจารณ์เองอาจเห็นความผิดพลาด เพราะวัสดุทั้งหลายมีขายแล้วทางออนไลน์

เดย์ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้ได้รายละเอียดถูกต้องแม่นยำที่สุด “เวลาที่เราเริ่มสังเกตรายละเอียดของเสื้อผ้าแต่ละชุด มันจะดูมีความซับซ้อนขึ้นทันที” เดย์กล่าว “เข็มขัดตะปูที่เฟรดดี้สวมในงาน Live Aid คือตัวอย่างที่ประกอบด้วยตะปูที่ต่างกัน 2 ชุด และเสื้อกั๊กที่มีลักษณะพิเศษ รามี่ มาเล็คสนุกกับการทำงานและใส่ใจในรายละเอียด เราผลิตเสื้อกั๊ก 15 ตัวขึ้นมาให้เขาสำหรับฉากนั้น และเขาเพิ่งบอก 2-3 วันก่อนการถ่ายทำว่าคอเสื้อสูงเกินไป เราเลยต้องตัดและเย็บใหม่ทั้ง 15 ตัว ซึ่งขนาดเพียงครึ่งนิ้วทำให้เกิดความแตกต่างมากจากชุดของจริง และเรายังมีการผลิตการ์ตูนขึ้นมาใหม่บนเสื้อที่จอห์น ดีคอนสวมใส่ในฉาก เพื่อทำให้มันออกมาถูกต้องเป๊ะ เราเจอชุดของเฟรดดี้ที่อเมริกาและขอให้ Adidas ผลิตรองเท้าชกมวยขึ้นมาใหม่ มันก็สนุกดีแต่ก็มีความท้าทายด้วยเช่นกัน!”

วีดีโอ “I Want To Break Free” ที่เห็นวงดนตรีเลื้อยอยู่บนพื้นถือเป็นฉากหนึ่งที่มีการเฝ้ารอมากที่สุดในหนังทั้งเรื่อง เดย์และทีมงานของเขาตามหาเสื้อผ้าทั้งหมดในประเทศ ทั้งชุดที่ไบรอัน เมย์สวมใส่ไปจนถึงกระโปรงพลาสติกของเฟรดดี้ และต้องมีการผลิตเสื้อผ้าและเครื่องประดับขึ้นมาอีกหลายชิ้น “เราพบกับหมวกสานตรงกับหมวกที่โรเจอร์ เทย์เลอร์ใช้ รวมถึงหมวกที่มีสายริบบิ้นตกแต่งอยู่ในสีเดียวกัน”

สำหรับโชว์ที่หยุดงานปาร์ตี้ซึ่งเฟรดดี้เป็นเจ้าของงานที่ Garden Lodge เดย์จัดเครื่องแต่งกายที่มีเอกลักษณ์ มีทั้งมงกฎ เสื้อคลุมสีแดงที่ประดับด้วยขนสีขาว ผสมกับแจ็คเก็ตทหารและกางเกงหนังที่เป็นเอกลักษณ์ของเมอร์คิวรี่ “เราอยากให้เขากลายเป็นราชาในงานปาร์ตี้ของเขา” เดย์กล่าว

สำหรับแขกในงานปาร์ตี้ เดย์ได้ทำการค้นหาภาพจากดิสโก้แห่งตำนาน Studio 54 ในนิวยอร์ค และออกแบบเสื้อผ้าหลายชุดที่จะใช้อิงในฉากไนท์คลับปี 1970 ตามแบบฉบับของพังค์และเกย์ มีฉากที่นำเสนอการสูบบุหรี่และเกี่ยวข้องกับเรื่องใต้ดิน

ข้อความพิเศษข้อความหนึ่งคือไม่มีเสื้อผ้าชุดไหนสวมใส่มากกว่า 1 ครั้ง

“ฉันไม่คิดว่าจะเคยฟิตติ้งเสื้อผ้าในหนังเรื่องไหนหลายครั้งแบบนี้มาก่อนเลยนะคะ” เดย์กล่าว “เรามีเสื้อผ้าหลายร้อยชุดมาก เสื้อผ้า 1 รถบัสสำหรับสมาชิกในวง 4 คน! และรวมแล้วราว 8-10,000 ชุดได้รวมของนักแสดงสมทบทั้งหมดด้วย เรื่องราวเดินทางจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง ตั้งแต่ญี่ปุ่นไปนิวยอร์ค จนไปถึงเมืองเล็กๆ ในอเมริกา ซึ่งต่างเมืองก็มีสถานการณ์ต่างกันไป มันสนุกมากค่ะ”

กราแฮม คิงรู้สึกทึ่งไปกับเสื้อผ้าชุดต่างๆ “จูเลียน เดย์สร้างผลงานที่เหลือเชื่อมากครับ” ผู้อำนวยการสร้างฯ กล่าว “เขามีชื่อเสียงอย่างเหลือเชื่อ และยังหลงใหลในการทำงานด้านนี้ด้วย เขามีเซนส์ที่เหมาะกับการจัดชุดให้หนังเรื่องนี้ และเขาเข้าใจแนวพีเรียดเป็นอย่างดี เวลาที่เราสร้างหนังสักเรื่องและทุกคนในฉากหลงใหลในการเล่าเรื่องราว เราจะสัมผัสความรู้สึกนั้นได้”

ผู้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับเดย์คือผู้ออกแบบทรงผมและเมคอัพ แจน ซีเวล เธอรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เล่าเรื่องราวของเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ผ่านภาพลักษณ์ตั้งแต่ปี 1970 จนถึงงาน Live Aid

การทำงานของซีเวลง่ายขึ้นด้วยข้อมูลด้านภาพที่เห็นตามสาธารณะจำนวนมาก “มีวีดีโอมากมายที่เราเห็นเฟรดดี้ในลุคที่ต่างกันไป” เธออธิบาย “ต้องมีการร่วมงานกับฝ่ายเสื้อผ้า เราต้องดึงลุคต่างๆ ของเฟรดดี้และวงออกมาเพื่อสร้างไทม์ไลน์ของเรื่อง เราไม่แน่ใจว่าจะแสดงทรงผมแบบต่างๆ ของพวกเขาออกมาได้ครบทุกทรง เช่น จอห์น ดีคอนที่ดูไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่ จากนั้นเขาก็ไว้ผมสั้นลงในช่วงปี 1980 ไบรอัน เมย์ก็ยังคงไว้ผมทรงเดิมจนถึงทุกวันนี้ เพียงแค่จะสั้นลงหรือยาวขึ้นบ้าง แต่เฟรดดี้มีหลายลุคมากค่ะ เราต้องเลือกว่าลุคไหนที่ชัดเจนที่สุด”

ซีเวลเริ่มจากช่วงกลางยุค 1970 ที่ดูตัดเป็นทรงเรียบร้อย โดยจะเล็มช่วงขอบผมให้สั้นมาก และไว้ผมยาวด้านหลัง มีการเปลี่ยนแปลงหลายลุคจนกระทั่งเราให้เขาไว้ผมสั้นและไว้หนวดแบบในงาน Live Aid

มี 2 จุดสำคัญที่ซีเวลต้องอาศัยการตกแต่งเทียมขึ้นมา ได้แก่ ฟันที่เป็นเอกลักษณ์ของเฟรดดี้และจมูกที่งุ้มของเขา ซีเวลทำการทดสอบฟันหลายคู่กับรามี่ มาเล็ค เพื่อให้แน่ใจว่าเมื่ออยู่หน้ากล้องมันจะออกมาดูดี “ความน่าทึ่งเวลาดูรามี่แสดงเป็นเฟรดดี้ คือเขาแสดงลักษณะท่าทางได้เหมือนเฟรดดี้เป๊ะเลย” ซีเวลกล่าว “เฟรดดี้ระมัดระวังเรื่องฟันของเขามาก เขาเลือกที่จะไม่ซ่อมแซมฟันแม้ว่าเขาจะทำได้ ส่วนใหญ่เขาจะใช้วิธีปกปิดมันซึ่งส่งผลต่อการขยับปากเป็นอย่างมาก จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีขนาดฟันที่เหมาะสม เพื่อให้รามี่รู้สึกว่าเขาบังคับมันได้ และสามารถแสดงลักษณะท่าทางแบบนั้นออกมาได้”

สำหรับเรื่องจมูก ซีเวลได้สร้างจมูกเจลที่ใช้ได้ทุกวันขึ้นมา “มันจะช่วยขยายส่วนบนของจมูก ซึ่งจะดึงตาของเขาเข้ามานิดหน่อย ดวงตาของรามี่ใหญ่กว่าเยอะมาก ต้องอาศัยการแต่งหน้าให้ดวงตาของเขาดูโดดเด่นน้อยลง” เธอกล่าว

ต่อมาแน่นอนว่าจะต้องเป็นวิกจำนวนมากและหนวดเทียม เพราะมาเล็คเพิ่งถ่ายทำเรื่อง Mr. Robot จึงไม่มีเวลารอผมยาว เขาเลยต้องสวมวิกทุกฉาก แม้แต่ทรงผมในงาน Live Aid และทรงผมของเขามีทั้งยาวขึ้นและสั้นลง หนวดก็ต้องมีความหนาขึ้นและบางลงเพื่อให้ดูบาลานซ์กัน

สำหรับนักแสดงทั้ง 4 คนในวง ซีเวลต้องปรับอายุของพวกเขาสำหรับฉากสุดท้ายในช่วงกลางยุค 1980 “เรามีการใช้พลาสติกเทียมเล็กๆ น้อยๆ กับนักแสดงทั้ง 4 คนในฉาก Live Aid เพื่อให้ดูมีอายุมากขึ้น มีริ้วรอยบ้างให้ดูสมจริง จากนั้นมีการแต่งหน้าตามปกติเหมือนเวลาขึ้นคอนเสิร์ต”

ซีเวลศึกษาข้อมูลจากหลายแห่งเพื่อให้ได้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่การคุยกับไบรอัน เมย์และโรเจอร์ เทย์เลอร์เท่านั้น แต่รวมถึงอีกหลายคนที่ออกทัวร์ไปกับวงด้วย เธอเล่าว่า “เฟรดดี้ทาสีดำที่เล็บช่วงยุค 1970 ที่มือซ้ายข้างเดียว ฉันถามว่าทำไมเขาไม่ทามือขวาด้วย มันง่ายมากเลยเพียงเพราะเขาไม่สามารถทาสีด้านขวาได้ เช่นเดียวกับไบรอันที่มือขวาก็ขาวสะอาด”

สำหรับฉากที่มีนักแสดงสมทบจำนวนมากอย่างในงานปาร์ตี้ Garden Lodge ของเฟรดดี้และ Live Aid ซีเวลและทีมงานของเธออิงรายละเอียดจากภาพถ่ายและฟุตเทจวีดีโอ “เราศึกษาเรื่องแขกในงานปาร์ตี้อย่างใกล้ชิด มีลักษณะพิเศษที่เราเลือกจะลอกเลียนแบบ อาทิเช่น มงกุฎของกษัตริย์โรมันและเสื้อคลุม สำหรับงาน Live Aid เราอยากแน่ใจว่าได้ลุคแบบยุค 1980 จริงๆ ผู้ชายจะไว้หนวด ส่วนผู้หญิงไว้ผมสั้น นักแสดงสมทบส่วนใหญ่จะสวมวิกเพราะตอนนี้ผู้ชายส่วนใหญ่ไว้ผมสั้น และผู้หญิงไว้ผมยาว ต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์สำหรับการลองเสื้อผ้าและจัดการกับวิกนับ 7,000 ชิ้น เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างออกมาถูกต้อง แต่เนื่องจากนักแสดงสมทบเองก็เป็นแฟนตัวยง เวลาที่เราขอให้ผู้ชายไว้หนวด พวกเขาก็ยินดี!”

สำหรับการร่วมงานกับจูเลียน เดย์ ซีเวลเอ่ยปากชมโทนสีการแต่งหน้าของนักแสดงหญิง “มันเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในเรื่องการแต่งหน้าจากจุดเริ่มต้นของเรื่องไปจนถึงจุดจบ” เธอกล่าว “ในยุค 70 ทุกคนจะทาลิปสติกสีส้มน่ารักๆ ติดขนตาปลอม ทำให้ดวงตาเป็นโทนสีฟ้าและเขียว ส่วนแก้มจะปัดสีส้มอ่อน ในยุค 80 เราจะแต่งให้เป็นโทนสีดินเผาและบรอนซ์มากขึ้น”

ความทรงจำเรื่องหนึ่งที่ซีเวลได้รับจากกองถ่ายคือการร่วมงานกับนักแสดง “พวกเขารู้จักตัวละครของตัวเองเป็นอย่างดี และมีส่วนร่วมในเรื่องภาพลักษณ์เป็นอย่างมาก” เธอกล่าว “ฉันร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับรามี่ เขามีแววตาที่โดดเด่นมากค่ะ เขาแค่แต้มสีหรือแรเงาช่วงจมูกนิดหน่อยก็ดูต่างไปจากเดิมแล้วค่ะ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมสำหรับเราทุกคน”

มาเล็คเองก็กล่าวชมเธอกลับว่า “แจน ซีเวลเป็นผู้ออกแบบทรงผมและเมคอัพที่เก่งเหลือเชื่อเลยครับ นอกจากเรื่องฟันแล้วเธอยังสร้างผลงานที่น่าทึ่งเกี่ยวกับดวงตาของผมด้วย มีการวิเคราะห์โครงหน้าของผมให้ดูต่างออกในจุดต่างๆ เพื่อให้เป็นตัวเขา การเมคอัพคือสิ่งสำคัญที่ช่วยให้นักแสดงก้าวไปสู่ขั้นต่อไป เหมือนพวกเครื่องแต่งกายแหละครับ การเมคอัพและทรงผมทำให้นักแสดงมีความมั่นใจมากขึ้น เข้าถึงตัวละครได้มากขึ้น ผมรู้ตัวตลอดว่าไม่มีทางเป็นเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ได้ แต่ด้วยทรงผมและเมคอัพช่วยให้ผมถ่ายทอดบุคลิกสำคัญของเขาออกมาได้”

เสียงดนตรี

อีกบทบาทหนึ่งที่สำคัญในเรื่องคือผู้ควบคุมด้านดนตรี เบ็คกี้ เบ็นแธมมารับภารกิจสำคัญเพื่อแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ โดยมีการใช้ทั้งเสียงจริงของเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ เสียงที่คล้ายกัน และเสียงของรามี่ มาเล็ค

หลังการหารือกันระหว่างผู้กำกับฯ และผู้อำนวยการสร้างฯ เบ็นแธมจัดกลุ่มแต่ละเพลงว่าเป็นเพลงที่แสดงหน้ากล้องหรือเป็นวีดีโอเบื้องหลัง มีการใช้วัสดุที่หาได้จำนวนมากตั้งแต่แบคกิ้งแทรคที่อยู่หลังเสียงร้อง จากนั้นเบ็นแธมจะเลือกมาใช้ในช่วงก่อนบันทึกเสียงแต่ละเพลง เธอจะเลือกวัสดุที่จำเป็นทั้งหมดสำหรับเพลงแต่ละส่วน ส่วนที่เตรียมไว้สำหรับก่อนการบันทึกเสียงจะถูกส่งไปให้ทีมนักแสดงทำการฝึกซ้อมกับครูฝึกด้านการร้องเพลงและการเล่นดนตรี

“สำหรับ ‘Bohemian Rhapsody’ เราโชคดีที่ได้ใช้วิธีการบันทึกเสียงร้องของต้นฉบับและมีเสียงบันทึกต้นฉบับของวงทั้งหมด” เธอเล่าต่อว่า “นอกเหนือจากนั้นเรายังได้บันทึกเสียงที่คล้ายกับช่วงนั้นเวลาที่ไม่มีการบันทึกเสียงอีกด้วย เช่นเดียวกับการแสดงของรามี่ มาเล็คที่เราใช้เป็นวัสดุในการผลิตซาวด์แทรคที่มีความสมจริงมากที่สุด”

สำหรับฉากร้องเพลงทั้งหมด เบ็นแธมให้นักแสดงร้องตามไปกับเพลงที่บันทึกเสียงไว้ในช่วงแรก “มันเป็นสิ่งสำคัญเพราะมันต้องมีการเคลื่อนไหวของลำคอและกล้ามเนื้อใบหน้า” เธอกล่าว

แม้ว่าจะเป็นภารกิจที่มีความท้าทายมาก ฉาก Live Aid ก็เป็นฉากที่ทำงานง่ายที่สุด เบ็นแธมกล่าว “เพราะเพลงทั้งหมดมีการบันทึกไว้ล่วงหน้า แค่พวกเขาเล่นอีกครั้งด้วยเสียงสูงเพื่อให้วงดนตรีเข้าถึงอารมณ์ที่ถูกต้อง”

เบ็นแธมทำหน้าที่ช่วยมาเล็คและนักแสดงที่เหลือ “ต้องยกเครดิตให้นักแสดงและความทุ่มเทของเขาที่ใช้เวลาหลายชั่วโมงกับครูฝึกสอนเพื่อให้ได้สิ่งที่พวกเราต้องการ” เธอกล่าว “เบ็น ฮาร์ดี้เคยตีกลองมาบ้างแล้ว เขามีพื้นฐานที่เราสามารถต่อยอดได้ กวิลิม ลีก็เคยเล่นกีตาร์มาบ้าง ส่วนโจ แมซเซลโล่เคยเล่นเบส เช่นเดียวกับรามี่ที่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกับการบันทึกเสียงล่วงหน้า สำหรับรามี่แล้วเราบันทึกเสียงและเก็บภาพช่วงที่ร้องเพลง ฉะนั้นเขาจะมีทั้งเสียงและภาพที่แน่ใจได้ว่าเขาแสดงท่าทางออกมาเหมือนกัน ตั้งแต่การขยับร่างกายไปจนถึงการหายใจของเขา”

เพลงต่างๆ มีการบันทึกเสียงที่ Abbey Road Studios ชื่อดังในลอนดอน “จำได้ว่ารามี่เดินเข้ามาในช่วงที่เราบันทึกเสียงกันครั้งแรก เขามองไปเห็นภาพของวงควีนและเฟรดดี้จ้องมาที่เขา! นัยหนึ่งมันก็น่ากลัวแต่อีกนัยหนึ่งมันก็ทำให้มั่นใจ ถือเป็นการเพิ่มประสบการณ์ได้ดีมากเลยค่ะ”

ความยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด

กราแฮม คิงคาดหวังอย่างสูงสำหรับภาพยนตร์และแง่คิดของเรื่องที่สื่อถึงคนรุ่นหลัง “นี่เป็นหนังที่ผ่านการพัฒนาให้ดีขึ้นมาก” เขากล่าว “ผมหวังว่าถ้ามีผู้ชมคนไหนกำลังสับสน ถูกกลั่นแกล้ง หรือรู้สึกเหมือนไม่เป็นที่ต้องการ พวกเขาจะกินใจกับสิ่งที่แมรี่พูดกับเฟรดดี้ในเรื่องว่า ‘คุณมองไม่ออกหรอว่าสามารถเป็นอะไรได้บ้าง? เป็นอะไรก็ได้ที่คุณอยากจะเป็นเลย’ นั่นคือประเด็นที่สำคัญมากในโลกปัจจุบัน”

และยังมีเรื่องของเสียงเพลงที่คิงรู้ดีว่าจะกุมจินตนาการของผู้ชมเอาไว้ได้ “ผมไปดูหนังเพราะอยากสัมผัสความรู้สึกนั้น ไม่ใช่แค่มองเห็น นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกตลอด ถ้าเรามีคนในโรงหนังสัก 500 คนปรบมือและร้องเพลงไปกับช่วงเวลาที่ทรงพลังนั้น ซึ่งเป็นช่วงที่พวกเขาโตมาพร้อมกันและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขา นั่นคือประสบการณ์ที่จะได้รับจากภาพยนตร์ และผมคิดว่าเราทำสำเร็จ ผมอยากให้ทุกคนมาดูหนังเรื่องนี้ กอดคนที่อยู่ข้างๆ และร้องเพลงของวงควีนไปพร้อมกัน ทั้ง ‘We Will Rock You,’ ‘We Are The Champions,’ ‘Bohemian Rhapsody’ ทุกเพลงที่ยิ่งใหญ่ทรงพลังและอดที่จะยิ้มให้กับมันไม่ได้ ผมอยากสืบทอดตำนานของเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่และวงควีน เพื่อแสดงให้คนรุ่นใหม่เห็นว่าเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่คือใคร วงดนตรียังคงอยู่เหนือกาลเวลาได้ยังไง วงการดนตรีเปลี่ยนไปขนาดไหน การบันทึกเสียงในสมัยนั้นเป็นยังไง ทั้ง 4 คนมาพบกันและสร้างเสียงที่พิเศษขึ้นมาได้ยังไง เฟรดดี้เรียกวงดนตรีว่าเป็นครอบครัวของเขาเสมอ และผมคิดว่าไม่มีช่วงไหนดีไปกว่านี้แล้ว สำหรับการถ่ายทอดไอเดียของการที่เราเป็นหนึ่งในครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเป็นใครหรือมาจากที่ไหน”

รามี่ มาเล็คเห็นด้วยว่า “ผมหวังว่าทุกคนจะได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเฟรดดี้ในเรื่องไม่ต่างจากผม รู้สึกมีความมั่นใจ รู้สึกเกิดแรงบันดาลใจ ได้รู้ว่ามันไม่ผิดเลยที่จะเป็นตัวของตัวเอง ผมหวังว่าพวกเขาจะร้องเพลงเสียงดังไปกับเขา และได้ปลดปล่อยความเป็นตัวของตัวเองออกมา ไม่รู้สึกว่าต้องปกปิดอะไร แต่ทำได้แค่เป็นตัวของตัวเองและมีความสุขกับสิ่งที่พวกเขาอยากจะเป็น”

onlyfans leaked xxx onlyfans leaked videos xnxx 2022 filme porno filme porno
.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X